จากรายงานของ Commonwealth Fund ในปี 2018 สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศร่ำรวยที่มีอัตราการเสียชีวิตมารดาจากการคลอดบุตรสูงที่สุด (เมื่อเทียบกับ ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, และสหราชอาณาจักร) อยู่ที่ 17.4 คน ต่อ 100,000 คน ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนการเสียชีวิตของมารดาในเนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์อยู่ที่เพียง 3 คน ต่อ 100,000 คนหรือน้อยกว่าเท่านั้น
และจากรายงานปี 2020 หัวข้อ Nowhere to Go: Maternity Care Deserts Across the U.S ของ March For Dimes องค์กรการกุศลของอเมริกาที่อุทิศตนเพื่อป้องกันโรคในวัยเด็ก ความพิการแต่กำเนิด การคลอดก่อนกำหนดและเพื่อลดการตายของทารก พบว่า ประมาณ 35% ของเทศมณฑลในสหรัฐอเมริกา ถูกระบุว่า เป็น ‘พื้นที่ทะเลทรายของการอนามัยแม่และเด็ก’ (maternity care deserts) ซึ่งหมายถึง พื้นที่ที่การเข้าถึงบริการด้านการดูแลสุขภาพของมารดาเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากการขาดสูติ-นรีแพทย์และพยาบาลผดุงครรภ์ หรือไม่มีวอร์ดสูติในโรงพยาบาล
จากรายงานของ March For Dimes ยังพบข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ คือ
- มีผู้หญิงเสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการตั้งครรภ์ ทุกๆ 12 ชั่วโมงในสหรัฐฯ
- ผู้หญิงผิวดำมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์มากกว่าผู้หญิงผิวขาวถึง 3 เท่า
- ผู้หญิง 3.3 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ไม่สามารถเข้าถึงการอนามัยแม่และเด็กได้อย่างเต็มที่
Better Starts for All เป็นองค์กรที่ให้บริการด้านสุขภาพก่อนและหลังคลอดกับสตรีตั้งครรภ์ที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพที่จำเป็น ร่วมมือกับพันธมิตรคือ March For Dimes และ Enfa โดยใช้รถบัสสองคันเป็นหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อดูแลอนามัยแม่และเด็กในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และรัฐโอไฮโอ
ในวอชิงตัน ดี.ซี. หน่วยบริการเคลื่อนที่นี้สามารถให้บริการคนไข้ได้ 12 คนในวันปกติ และได้สูงถึง 25 คนต่อวันหากไปเปิดบริการในงานแฟร์ด้านสุขภาพ โดยปริมาณความต้องการของผู้รับบริการทั้งในวอชิงตัน ดี.ซี. และโอไฮโฮ อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
หากไม่มีการฝากครรภ์ ปัญหาที่จะตามมาคือ ไม่ได้รับการวินิจฉัยความผิดปกติอย่างทันท่วงที ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพทั้งแม่และเด็ก รวมถึงการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ประกันสุขภาพที่ไม่ครอบคลุมคนบางกลุ่ม รวมถึงระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ก็เป็นหลายๆ อุปสรรคใหญ่ของการเข้าถึงการอนามัยแม่และเด็กในสหรัฐฯ การให้บริการด้วยหน่วยเคลื่อนที่นี้จึงเป็นตัวเลือกที่สะดวกและเป็นประโยชน์แก่ผู้หญิงหลายคน
ภารกิจอันเป็นหัวใจหลักของ Better Starts for All คือ ให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่ประชากรที่ด้อยโอกาส ปัจจุบัน หน่วยบริการเคลื่อนที่นี้ให้การบริการด้านสุขภาพแก่ผู้หญิงครอบคลุม ตั้งแต่การฝากครรภ์ การดูแลหลังคลอด หรือ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตรวจเลือด ตรวจกามโรค อัลตราซาวน์ ให้บริการยาคุมกำเนิด จนถึงการตรวจหามะเร็งเต้านม
ภายในสามปีข้างหน้า Better Starts for All มีเป้าหมายที่จะพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืนให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศได้โดยการเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพสำหรับคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด รวมถึงลดอัตราการคลอดก่อนกำหนดของทารก
สุขภาพมารดาและทารก รวมถึงการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 3 สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย - เป้าประสงค์ 3.1 ลดอัตราการตายของมารดาทั่วโลกให้ต่ำกว่า 70 คน ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน ภายในปี 2030 - เป้าประสงค์ 3.2 ยุติการตายที่ป้องกันได้ของทารกแรกเกิดและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยทุกประเทศมุ่งลดอัตราการตายในทารกลงให้ต่ำถึง 12 คน ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน และลดอัตราการตายในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ลงให้ต่ำถึง 25 คน ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ภายในปี 2030 - เป้าประสงค์ 3.7 สร้างหลักประกันถ้วนหน้า ในการเข้าถึงบริการสุขภาวะทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมถึงการวางแผนครอบครัว ข้อมูลข่าวสารและความรู้ และการบูรณาการอนามัยการเจริญพันธุ์ในยุทธศาสตร์และแผนงานระดับชาติ ภายในปี 2030 - เป้าประสงค์ 3.8 บรรลุการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน การเข้าถึงการบริการสาธารณสุขจำเป็นที่มีคุณภาพ และเข้าถึงยาและวัคซีนจำเป็นที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และมีราคาที่สามารถซื้อหาได้
ที่มา: https://www.popsugar.com/family/how-mobile-maternal-care-units-are-helping-pregnant-people
https://www.commonwealthfund.org/publications/issue-briefs/2020/nov/maternal-mortality-maternity-care-us-compared-10-countries
https://www.hfocus.org/content/2019/04/17079
Last Updated on มีนาคม 8, 2021