จากรายงานของ EY-Partheon ซึ่งจัดทำโดย EY ระบุว่า การลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์จะช่วยสร้างงานในพื้นที่ชุมชนรวมไปถึงห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและในอนาคตจะช่วยให้มีการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green recovery) หลังผ่านพ้นการแพร่ระบาดโควิด-19
ที่ปรึกษา EY-Partheon ซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับด้านกลยุทธ์ธุรกิจ ได้กล่าวว่า “โครงการผลิตพลังงานทดแทนราวๆ 13,000 โครงการ ในกว่า 50 ประเทศกำลังรอการอนุมัติงบประมาณ โดยโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างงานสีเขียวได้มากกว่า 10 ล้านตำแหน่ง” ซึ่งงานสีเขียว หรือ Green Job คือ งานในภาคเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
European Climate Foundation (ECF) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการจัดทำรายงานของ EY ได้ระบุว่า โครงการพลังงานทดแทนจะเป็นประโยชน์ต่อภาคแรงงานในหลาย ๆ ประเทศที่ ณ ปัจจุบันโลกสูญเสียงานไปถึง 90% จากผลของการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างงานให้ได้สูงถึง 1.8 ล้าน และ 2 ล้านตำแหน่ง ตามลำดับ รวมทั้งในแคนาดา อินเดีย บราซิล ออสเตรเลีย ที่จะสามารถสร้างงานได้เกือบหลายแสนตำแหน่ง ซึ่งตำแหน่งงานใหม่นั้นจะครอบคลุมตั้งแต่งาน Low-skilled (ใช้ทักษะต่ำ) จนถึง High-skilled (ใช้ทักษะสูง) ยกตัวอย่างเช่น การก่อสร้าง การผลิต สามารถใช้แรงงานทักษะต่ำในการทำงานได้ ในขณะที่แรงงานทักษะสูงจะเป็นวิศวกรที่คอยควบคุมโปรเจกต์การก่อสร้าง และระบบการจัดการ เป็นต้น
ECF ยังได้ระบุต่อว่า หากข้อเสนอโครงการด้านพลังงานของสหราชอาณาจักรผ่านการประเมินด้านงบประมาณจะนำไปสู่การจ้างงานได้มากถึง 439,000 ตำแหน่งในทันที และอาจเพิ่มสูงถึง 625,000 ตำแหน่ง เมื่อต้องจัดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า ระบบการจ่ายและกระจายพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Tim Lord จาก Tony Blair Institute for Global Change ได้โต้แย้งว่า แรงงานทั่วโลกยังไม่มีความสามารถพอที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานสะอาด เขาได้กล่าวต่อว่า “การประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะพัฒนาความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานและความสามารถของคนในท้องถิ่นในการขยายการผลิตและการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะช่วยดึงดูดด้านการลงทุน” รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาจะเผชิญกับความท้าทายที่มากกว่า เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึง รวมถึงยังไม่มีตลาดเข้มแข็งพอที่จะส่งเสริมการลงทุน
รายงาน EY-Partheon ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า หากหลาย ๆ โครงการสามารถดำเนินการได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า จะช่วยเพิ่มอัตราการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกขึ้นมากกว่า 2 เท่า และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 22% ได้ภายในทศวรรษนี้ ซึ่งคิดเป็น 9% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จำเป็นต้องถูกกำจัดไปภายในปี ค.ศ.2030 เพื่อการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : A Clean COVID-19 recovery : The global oppurtunity
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG7 เข้าถึงพลังงานสะอาด
7.3 ส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของโลกให้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ภายในปี 2573
#SDG8 งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
8.5 ส่งเสริมการจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่สมควรสำหรับหญิงและชายทุกคน รวมถึงเยาวชนและผู้มีภาวะทุพพลภาพ และให้มีการจ่ายที่เท่าเทียมสำหรับงานที่มีคุณค่าเท่าเทียมกัน ภายในปี 2573
#SDG9 ส่งเสริมอุตสาหกรรม นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
9.2 ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน และภายในปี 2573 ให้เพิ่มส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมในการจ้างงานและผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ โดยให้เป็นไปตามสภาวะแวดล้อมของประเทศ และให้เพิ่มส่วนแบ่งขึ้นเป็น 2 เท่าในประเทศพัฒนาน้อยที่สุด
#SDG13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
13.1 เสริมภูมิต้านทานและขีดความสามารถในการปรับตัวต่ออันตรายและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในทุกประเทศ
ที่มา : Clean energy investment could create 10 million green jobs (Weforum.org)
Last Updated on มกราคม 12, 2022