การระบาดของโควิด-19 รอบแรกในอินเดียมีผลต่อคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปหรือคนรุ่นปู่ย่าตายาย ทว่าการระบาดระลอกที่สองเมื่อช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา มีความรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งไม่มีทรัพยากรสำหรับการรักษาและไม่มีพื้นที่จะทำพิธีศพ ได้คร่าชีวิตคนรุ่นพ่อแม่ไปจำนวนมหาศาล และผลที่ตามมากระทบโดยตรงต่อคนรุ่นลูกหรือเด็กและเยาวชนจำนวนมากของอินเดีย ที่ในวันนี้สูญเสียครอบครัว ไม่ได้กลับไปเรียนที่โรงเรียน ถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่ยังเด็ก กลายเป็นแรงงานเด็ก และตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์
บทความข่าว Insight จาก Channel News Asia กล่าวถึงปรากฎการณ์/สถานการณ์เด็กและเยาวชนครั้งนี้ของอินเดียว่าเป็น ‘Broken Generation’
โดยที่การระบาดของโควิด-19 ได้เข้ามาทำให้สถานการณ์การไม่ได้เรียนหนังสือ การบังคับแต่งงานในเด็ก แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่อินเดียเผชิญแต่เดิมได้แผ่ขยายกว้างและรุนแรงขึ้น เพราะทั้งคร่าชีวิตทำให้เด็กสูญเสียครอบครัว ทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่มีงานทำและตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทั้งสองกรณีนี้ทำให้เด็กยิ่งเปราะบางต่อการถูกบังคับให้แต่งงาน จำต้องทำงานตั้งแต่ยังเด็กที่อายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนด (ตามกฎหมายของอินเดีย เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปีไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานหนัก เช่น เหมืองแร่ โรงงาน หรืองานที่มีความเสี่ยงอันตราย เป็นต้น) และเป็นเหยื่อจากกลุ่มค้ามนุษย์ อันหมายรวมถึงการถูกบังคับให้ขอทาน
ซึ่งนอกจากการออกลาดตระเวนของตำรวจอินเดียแล้ว องค์กรไม่แสวงผลกำไร Bachpan Bachao Andolan (BBA) องค์กรที่จัดการกับประเด็นค้ามนุษย์ในเด็กและแรงงานเด็ก ก็ได้เข้ามาสืบสวนและออกลาดตระเวนในแต่ละพื้นที่และสถานประกอบการด้วย โดยอาศัยทั้งเครือข่ายและข้อมูลจากเด็กที่รอดชีวิต ที่จะนำไปสู่ภารกิจการช่วยชีวิตเด็กที่ต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและพยายามควบคุมไม่ให้กลุ่มค้ามนุษย์ไหวตัวทัน ซึ่งภารกิจที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จ แต่การช่วยชีวิตเด็กเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเด็กอาจถูกสอนให้โกหกเมื่อเจอกับตำรวจ และทีมผู้เข้าช่วยชีวิตยังไม่สามารถเข้าถึงตัวเด็กทุกคนที่ตกเป็นเหยื่อหรือถูกแสวงหาประโยชน์ได้
นอกเหนือจาก BBA ยังมีองค์กรไม่แสวงผลกำไรอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือในประเด็นเด็กด้วย อาทิ กลุ่มสิทธิเด็ก Protsahan India Foundation และกลุ่ม Prayas
ทั้งนี้ ข้อมูลของคณะกรรมาธิการระดับชาติเพื่อการคุ้มครองสิทธิเด็ก ชี้ว่ามีเด็กและเยาวชนมากกว่า 101,000 คนที่กำพร้าหรือถูกทอดทิ้งตั้งแต่ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึง 23 สิงหาคม 2564 และเมื่อช่วงเดือนมีนาคมและมิถุนายน 2563 ข้อมูลศูนย์ฮอตไลน์ 24 ชั่วโมงรับเรื่องร้องทุกข์เด็ก 1098 ของอินเดียระบุว่าได้รับสายขอความช่วยเหลือจากเด็กกว่า 400,000 สาย จนมาถึงในช่วงเดือนมีนาคมและมิถุนายน 2564 นี้ สายเข้าขอความช่วยเหลือมีเพิ่มขึ้น 40-50% หรือโดยเฉลี่ย 5,000 สายต่อวัน
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงมีนาคม 2563 มาจนถึงตอนนี้ โรงเรียนในอินเดียกว่า 1.5 ล้านโรงเรียนยังคงปิดทำการ ทำให้เด็กตั้งหันเหจากการเรียนมาทำงาน หรือบ้างก็จำต้องหยุดเรียนเพราะไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาทางออนไลน์ได้ ในช่วงหนึ่งปีนี้ ยังมีเด็กจำนวนมากที่ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสืออีกเลย
● อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
– ผลกระทบจากโควิด-19 จะทำให้เด็กหญิงกว่า 10 ล้านคนเสี่ยงกับการแต่งงานก่อนวัยอันควร
– ‘ถ้าหนูไม่ออกไปทำงาน ชีวิตก็จะแย่กว่านี้’ – เสียงเด็กหญิงจากกานาที่สะท้อนว่าความก้าวหน้ายุติ ‘แรงงานเด็ก’ ของโลกได้หยุดชะงักลง
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG3 สุขภาพและสุขภาวะที่ดี
-(3.3) ยุติการแพร่กระจายของโรคติดต่อ
#SDG4 การศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม ในภาพรวมของการที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาค
#SDG5 ความเท่าเทียมระหว่างเพศและการเสริมพลังอำนาจแก่ผู้หญิงและเด็กหญิง
-(5.3) ขจัดการปฏิบัติที่เป็นภัยทุกรูปแบบ อาทิ การบังคับเด็กแต่งงาน
#SDG8 การเติบโตทางเศรษฐกิจและงานที่มีคุณค่า
-(8.5) ส่งเสริมการจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่สมควรสำหรับหญิงและชายทุกคน
-(8.7) ดำเนินมาตรการโดยทันทีและมีประสิทธิภาพเพื่อขจัดแรงงานบังคับ ยุติการค้าแรงงานทาสในยุคสมัยใหม่และการค้ามนุษย์ และขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งรวมถึงการเกณฑ์และการใช้ทหารเด็ก และยุติการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบในปี 2568
#SDG16 สังคมสงบสุข ยุติธรรม ครอบคลุม สถาบันมีประสิทธิผล
-(16.2) ยุติการข่มเหง การใช้หาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการทรมานทุกรูปแบบที่มีต่อเด็ก
-(16.a) เสริมความแข็งแกร่งของสถาบันระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะป้องกันความรุนแรงและต่อสู้กับการก่อการร้ายและอาชญากรรม