เชียงใหม่ในความทรงจำของทุกท่านเป็นอย่างไร เป็นอากาศหนาว เป็นภูเขา เป็นสายน้ำ
เป็นวัดวาอาราม หรือเป็นแม่ยิงงามแลยิ้มหวานในทรรศนะของกวี?
แต่เชียงใหม่ในเลนส์สายตาของข้าพเจ้า คือเชียงใหม่ที่มีค่าในความทรงจำเพราะผู้คนและสถานที่ธรรมดา ๆ ที่ไม่ว่าจะหวนนึกถึงกี่ครั้งก็คิดถึงทั้งน้ำตาอยู่เสมอ กลิ่นตอซังข้าวเคล้าเสียงของจักจั่นในหน้าแล้ง สีส้มของดอกหางนกยูงตัดกับสีฟ้ายามแสงตะวันส่องจ้า หลายปีก่อนครั้งข้าพเจ้ากับเพื่อนสมัยชั้นประถม ยังพากันปั่นจักรยานไปเล่นน้ำคลอง ถนนคันดินบ้านไร่ไร้ไฟแสงสี อากาศร้อนจนไอศกรีมละลาย น้ำหวานไหลย้อยติดตรงคอเสื้อ ทิ้งเป็นคราบให้แม่ของข้าพเจ้าต้องบ่นสี่บ่นแปดไปครึ่งค่อนวัน ข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็กบ้านไร่ที่ไร้ความฝัน แต่มีความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ณ คราวนั้น คือการสอบไล่ได้ที่หนึ่งตั้งแต่ชั้นประถมสองจนถึงชั้นประถมหก วันดีคืนดีก็ถูกครูจับลงชื่อแข่งขันตอบปัญหาสารานุกรมที่ข้าพเจ้าได้หนังสือเล่มหนาเตอะจากห้องสมุดมาอ่าน นับจากนั้น โลกทรงกลมเดิม ๆ ของข้าพเจ้าจึงค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น…
รถกระบะคันใหม่เอี่ยมของคุณครูบ้านป่าพาเด็กหญิงสี่ห้าคนมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองไกล ข้าพเจ้าสวมชุดนักเรียนตัวเก่า มีกลิ่นของน้ำยารีดผ้าที่หมดอายุไปหลายเดือนกับรองเท้านักเรียนที่ฉีกเป็นรอยยาว ความจนไม่เคยเป็นเรื่องน่าอายจนวันที่เห็นเด็กคนอื่นแต่งเนื้อแต่งตัวดูดี ใช้ข้าวของมีราคามียี่ห้อ สนามแข่งขันใหญ่โตเสียยิ่งกว่าสนามฟุตบอลโรงเรียนเรา
“แล้วรางวัลที่สองสามสี่ล่ะพ่อ” …สายลมพัดแผ่วเบา เสื้อตัวเก่าของพ่อเต็มไปด้วยรูโหว่และรอยเข็มปะชุน แผ่นตรวจหวยราคาสามบาทถูกซื้อมาจากตลาดนัดในเช้าของวันพฤหัส แววตาของแม่ดูมีความหวัง แม้ชวดรางวัลที่หนึ่ง ก็มีรางวัลอื่นให้ลุ้นต่อ แต่จนแล้วจนเล่า ตรวจแล้วตรวจเล่า ก็ไม่ถูกเลยสักรางวัล ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังตัวเท่าหน้าแข้งจนเรียนจบปริญญา เลขหวยที่แม่ฝันว่ามีผีญาติพี่น้องคนนั้นคนนี้มาบอก ก็ยังไม่เคยออกรางวัลเลยสักครั้ง
“ทำบุญให้มาก เกิดชาติหน้าจะได้ร่ำรวยแบบคนอื่นเขา” …เมื่อไม่ถูกหวยก็หันมาหวังรวยด้วยบุญ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า มันต้องมีสักชาติที่เกิดมารวย สาธุ สาธุ บอกลุงโฆษกเขียนชื่อทุกคนในบ้านบนหน้าสมุดรายชื่อผู้ร่วมทำบุญ ทั้งที่แม่มีเงินทั้งตัวอยู่หนึ่งร้อย แกให้ลุงโฆษกสี่สิบบาทเป็นค่าผ้าป่า เหลือซื้อข้าวกินแค่หกสิบบาทกับบ้านที่อยู่กันห้าหกคน เราอยู่กับความหวังวันแล้ววันเล่า พึ่งพาแต่สิ่งที่ไม่แน่นอน ทั้งพุทธ ผี ดวง หวย บาปและบุญ หลังตะวันรอน ๆ เรานอนเอามือก่ายหน้าผาก มองหยาดฝนร่วงลงจากหลังคาที่เป็นรู อย่าได้ถามหาความฝันในวันที่ยังยาวไกล แค่ข้าวเย็นของวันพรุ่งใหม่จะมีอะไรให้กินบ้างก็ยังไม่รู้ แต่เราหวังกันอีกเมื่อชีวิตยังไม่สิ้น เรากอบโกยเศษดวงใจที่ร้องโอดโอยในความจนชอกช้ำ วิ่งโร่กู้หนี้ยืมสิน ขายที่นาที่ไร่หาเงินส่งลูกเต้าเรียนหนังสือเพราะการศึกษาจะนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ น้อยใจในชะตาจริงหนอ ลำบากยากเข็ญเหลือล้น เมื่อความจนไม่เข้าใครออกใคร เมื่อไม่จนก็ไม่เข้าใจ จะหันหน้าไปพึ่งใครไม่มี แม้แต่พวกคนที่มือไม้อ่อน ก้มหัวโค้งตัวใส่สายคอดอกดาวเรืองเหลืองไปทั้งตัว ก็กลับไม่เห็นหัวหลังชนะการเลือกตั้ง
เชียงใหม่นอกจากจะเต็มไปด้วยความทรงจำแสนขมระทมทุกข์ สุขจนล้น หรือกัลยาณมิตรที่เคยพบผ่านในหลายช่วงเวลา เชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความฝันของผู้คนอีกหมื่นแสน เป็นเมืองที่พรั่งพร้อมไปด้วยศักยภาพของการพัฒนาที่จะก้าวต่อไม่หยุดยั้ง แต่เราจะสร้างความสุขที่ยั่งยืนได้อย่างไร หากรากฐานของความฝันยังดูมืดมน สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ดูวกวนผิดเพี้ยนชวนให้สิ้นหวัง แล้วเราจะเก็บสิ่งใดเล่ามาเป็นพลัง ต่อเติมความหวังสร้างลมหายใจในวันพรุ่งนี้
หากฐานของวันนี้คือเมื่อวาน และฐานของพรุ่งนี้คือวันนี้ ดังนั้น การพัฒนาบริหารที่ดีจึงหมายถึงการทำให้คนมองเห็นวันพรุ่งนี้และมีความหวังที่ไม่ยึดติดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือโชคลาภ แต่เป็นความหวังถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมเพราะการบริหารจัดการของทุกหน่วยงานที่จับต้องเชื่อถือได้ ทั้งนี้ แต่ก่อนที่จะมีวันพรุ่งนี้ ฐานของเมื่อวานและวันนี้จะต้องดีเสียก่อน ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ข้าพเจ้าจะหยิบประสบการณ์และสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นในชีวิตของตนมาตกตะกอนและเรียงร้อยเป็น 3 รากฐาน ที่จะร่วมก่อรูปร่างเป็นใจความหลักของการพัฒนาเชียงใหม่สู่ความยั่งยืนของวันพรุ่งนี้ในอนาคตที่ไม่สิ้นสุด
รากฐานแรก คือ การศึกษามากคุณภาพที่คนทุกช่วงวัยเข้าถึงมันได้ หากสารานุกรมเล่มหนาเตอะเคยขยายโลกทั้งใบของข้าพเจ้าได้อย่างไร หนังสือทุกเล่ม ความรู้จากทุกแหล่ง ก็จะขยายโลกทั้งใบของผู้คนอีกมากมายได้เช่นกัน ยามแสงตะวันรอน ๆ รัตติกาลมืดดำค่อย ๆ คืบคลานกลืนกินผืนฟ้า ได้ยินเสียงเศษเหรียญกระทบพื้นไม้ หนึ่งบาท สองบาท สามบาท… “เอ้า รับไว้ซิ” ตาของข้าพเจ้าเป็นนักปั่นด้ายมือฉมัง ส่วนยายก็เป็นนักทอผ้าตัวยง ลายผ้าทุกผืนออกมาจากความประณีต สองเท้าย่ำกี่ สองมือพุ่งกระสวย กว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างใช้เวลานานโข แต่กลับได้เงินค่าจ้างเพียงหนึ่งหยิบมือ บ้านนอกแร้นแค้น ความจนบีบเค้น รถเมล์คันสีฟ้าจอดเลียบถนนดินแดง ข้าพเจ้าใช้เงินเพียงหนึ่งหยิบมือจากสองตายายเป็นค่าหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่ต้องดั้นด้นต่อรถเข้าไปซื้อถึงร้านในตัวเมืองเพราะละแวกบ้านเราไม่มีร้านขายหนังสือแขนงนี้ ดึกดื่นได้ยินเสียงหมาเห่าอยู่ตรงสี่แยกใกล้น้ำคลองข้างบ้าน พ่อของข้าพเจ้าหิ้วสายไฟพะรุงพะรังมาติดตรงโถงบ้านที่ไม่ได้กว้างขวาง ณ ที่นั้น มีโต๊ะญี่ปุ่นที่ตาของข้าพเจ้าซื้อไว้ให้สำหรับใช้เขียนหนังสือ มีฟูกนอนกับกองผ้าห่ม สีเหลืองของหลอดไฟหัวเกลียว เสียงหมาเห่า และแมวจรแม่ลูกอ่อนตัวสีส้ม เป็นภาพในความทรงจำของข้าพเจ้าในบ้านไม้หลังนั้น ครอบครัวเรายากจนข้นแค้น แต่พ่อแก่แม่เฒ่าแลสองตายายก็พยายามเต็มที่ ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ข้าพเจ้าได้เรียนจบชั้นสูง ๆ …
“สี่จุดศูนย์ศูนย์เชียวหรือ หากเอ็งเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านเขาคงปิดซอยเลี้ยงโต๊ะจีนไปแล้ว” … ตลกร้ายเหลือเกินในคำพูดของญาติพี่น้องที่ทราบว่าข้าพเจ้าเรียนจบชั้นปีที่สี่ด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 มันสมองที่พอจะหลักแหลมทางวิชาการอยู่บ้าง คงเป็นความใจดีของสวรรค์ที่ส่งมาให้เพื่อตบบ่าปลอบใจในความโชคร้ายของชีวิต น้อยเนื้อต่ำใจในกระเป๋าสตางค์ของพ่อแม่ที่ไม่มีแม้แต่เศษเงินจะมอบให้เป็นของขวัญเหมือนเด็กบ้านอื่นที่เขาสอบได้ที่หนึ่งกัน เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่นึกอยากจะส่งต่อความโชคร้ายหรือความที่เด็กคนใดต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้ได้เข้าถึงการศึกษาหรือหนังสือดี ๆ แม้เพียงหนึ่งเล่ม
รากฐานที่สอง Community Space ปีพุทธศักราช 2543 ภาพยนตร์เรื่องสตรีเหล็กในผลงานกำกับของยงยุทธ ทองกองทุน ได้นำเสนอภาพของทีมนักกีฬาวอลเลย์บอลที่มีสมาชิกเป็นกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศ ภาพยนตร์นำเสนอตัวตนและความเจ็บปวดที่คนกลุ่มนี้ต้องเผชิญเมื่ออยู่ในสังคมที่คนมองคนไม่เท่ากัน โดยมีเพศเป็นตัวแปรสำคัญที่แม้แต่ในสนามการแข่งขันกีฬาที่ผู้จัดทั้งหลายเองก็ยังต่อต้านการแสดงออกของนักกีฬาที่เป็นกลุ่ม LGBTQ+ จากปีพุทธศักราช 2543 จนถึงปัจจุบัน แม้ทัศนคติของผู้คนจะเริ่มเปิดกว้าง แต่กลับไม่มีพื้นที่ที่ให้คนกลุ่มนี้ได้แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ของกฎหมาย
อธิบายต่อจากรากฐานที่หนึ่ง นอกจากพื้นที่ของเสรีในการแสดงออกทางความคิดและการแลกเปลี่ยนซึ่งองค์ความรู้ของคนในหลายช่วงวัยแล้ว เรายังต้องการพื้นที่ที่ผู้คนจะได้ “ปล่อยของ” เป็นพื้นที่ที่พวกเขาจะได้แสดงออกซึ่งตัวตนของตนเอง ไม่เคอะเขินหรือเจ็บปวดที่จะกำหนดนิยามแก่ตัวเอง และยังได้พบปะกับผู้คนอื่น ๆ ที่มีความสนใจคล้ายกัน Community Space จึงอาจเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่คนรักภาพยนตร์ได้มานั่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องโปรด หรือเป็นพื้นที่ที่คนรักเพลงป๊อปเกาหลีจะได้ออกมาโชว์สเต็ปแดนซ์ของตัวเอง หรือเป็นพื้นที่ที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้เข้ามาใช้สอยเพื่อแสดงออกถึงความเป็นตัวตนและการเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิทางกฎหมายของพวกเขาเอง ข้าพเจ้าเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีตัวตน มีนิยามในความเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่างหลากหลาย และในความแตกต่างของตัวเรา อาจจะเป็นความเหมือนกับใครคนอื่น ๆ ก็ได้ และคงจะดีหากเสร็จสิ้นการทำงานที่เหนื่อยล้าแล้วได้พาตัวเองมาปลดปล่อยในพื้นที่ที่จะได้ค้นหาและมีเวลาได้ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น ในฐานะของการเป็นผู้ว่าฯ ความสุขของพลเมืองก็นับเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน และเพื่อเสริมสร้างความสุขของทุกคนในสังคมและสร้างเมืองที่มีแต่รอยยิ้มนั้น คุณสมบัติหนึ่งที่คนเป็นผู้ว่าฯ พึงมี คือการใส่ใจต่อปัญหาสุขภาวะทางจิต (mental health) และการใส่ใจต่อการออกแบบเพื่อการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนจะมีเสรีทางความคิด มีเสรีทางการแสดงออก และเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้
และรากฐานที่สาม การเปิดใจและรับฟังผู้อื่นอย่างจริงใจ เพื่อการออกแบบนโยบายที่เป็นมิตรและเอื้อประโยชน์แก่ทุกคนในสังคมโดยเท่าเทียมกัน การเป็นผู้ว่าฯ ในอุดมคติของข้าพเจ้าคือการรับฟังประชาชน รับฟังปัญหา เปิดใจที่จะเรียนรู้และทำงานร่วมกับผู้อื่น รู้เท่าทันต่อข่าวสารวิทยาการในความเป็นพลวัตของกระแสโลก และพึงตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่ว่าอาชีพใดก็ล้วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมให้รุดหน้า ดังนั้นคนเป็นผู้ว่าฯ จะต้องส่งเสริม สนับสนุน และอำนวยความสะดวกแก่คนทุกคน
หากเปรียบประเทศเป็นเครื่องจักร พลเมืองก็เป็นฟันเฟือง แม้แต่ตัวผู้ว่าฯ เองก็เป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งเช่นเดียวกัน ท่านมิได้ยืนอยู่เหนือใคร หรือออกคำสั่งให้ใครทำแทนทั้งนั้น แต่จะต้องรับฟังปัญหาจากฟันเฟืองทุกตัว หาทางแก้ปัญหาเมื่อเครื่องจักรขัดข้อง ประสานงานกับอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เครื่องจักรกลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไม่อาจแก้ปัญหาเองได้ คนเป็นผู้ว่าฯจะต้องรู้จักการพึ่งพาหรือการขอรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นที่เชี่ยวชาญในปัญหาด้านนั้น อย่าได้ใช้ความหยิ่งทระนงในยศและคำสรรเสริญมาปิดหูปิดตาหลอกตัวเองให้ดำรงอยู่ต่อไปในอำนาจ
รากฐานทั้งสามนี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการพัฒนาต่อยอด เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีความแตกต่างหลากหลายทั้งทางลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ชาติพันธุ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีเอกลักษณ์ เมื่อกระแสโลกาภิวัตน์มาถึง ก่อให้เกิดการผสมผสานซึ่งความแตกต่างเหล่านี้เข้าด้วยกัน แต่ท่ามกลางความผัวผวนรวนเรนี้ ยังมีผู้คนอีกมากมายที่รอคอยการช่วยเหลือ เชียงใหม่ไม่ได้เจาะจงอยู่แค่ในตัวเมืองที่มีห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมหรูเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงทุกคนในทุกพื้นที่ใกล้ไกล ดิน น้ำ ป่าเขา ลำเนาไพรทุกหนแห่งก็ต้องอาศัยอำนาจและนโยบายที่เป็นธรรม เข้าถึง และใส่ใจที่จะพัฒนา เมื่อผู้ว่าราชการมีฐานของความตั้งใจที่จะส่งมอบการศึกษาเพื่อขยายโลกทั้งใบของคนทุกคน มีนโยบายที่จะสร้างพื้นที่ที่พลเมืองจะร่วมกันเข้ามาแต่งแต้มสีสัน ตลอดจนท่านเปิดใจที่จะรับฟังผู้อื่นแล้ว เมืองที่ผู้คนมองเห็นวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ก็จึงจะเกิดตามมา
เพราะความยั่งยืนคือวันพรุ่งนี้ที่ไม่มีสิ้นสุด ความยั่งยืนคือวันที่ความฝันหลังเวลาตะวันรอนของเราได้โลดแล่น เราไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใดในเช้าของวันรุ่งขึ้น เราไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากคิดไม่ตกแลหวังพึ่งพาลมฟ้าหรือผีสางอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาที่ดีจึงมีส่วนสร้างพลังของความเชื่อมั่นใหม่ว่า สังคมที่มีรากฐานเข้มแข็งจะเป็นแรงผลักดันให้การตื่นขึ้นแล้วลุกเดินตามความฝัน จะเป็นทุกวันที่มีความหวังชั้นเยี่ยมยอดและมากแรงบันดาลใจ เพราะความหวังเป็นพลังยิ่งใหญ่กว่าความกลัวได้ฉันใด การพัฒนาที่ทำให้ผู้คนมีความหวังของเช้าวันใหม่ ก็จึงมีส่วนสร้างสังคมที่เปี่ยมสุขอย่างยั่งยืนได้ฉันนั้น
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG4 การศึกษาที่มีคุณภาพ
– (4.2) สร้างหลักประกันว่าเด็กชายและเด็กหญิงทุกคนเข้าถึงการพัฒนา การดูแล และการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัย ที่มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กเหล่านั้นมีความพร้อมสำหรับการศึกษาระดับประถมศึกษา ภายในปี 2573
– (4.3) สร้างหลักประกันให้ชายและหญิงทุกคนเข้าถึงการศึกษาด้านเทคนิค อาชีวศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพในราคาที่สามารถจ่ายได้ ภายในปี 2573
– (4.5) ขจัดความเหลี่อมล้ำทางเพศด้านการศึกษา และสร้างหลักประกันว่ากลุ่มที่เปราะบางซึ่งรวมถึงผู้พิการ ชนพื้นเมือง และเด็ก เข้าถึงการศึกษาและการฝึกอาชีพทุกระดับอย่างเท่าเทียม ภายในปี 2573
– (4.a) สร้างและยกระดับอุปกรณ์และเครื่องมือทางการศึกษาที่อ่อนไหวต่อเด็ก ผู้พิการ และเพศภาวะ และให้มีสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่ปลอดภัย ปราศจากความรุนแรง ครอบคลุมและมีประสิทธิผลสำหรับทุกคน
#SDG5 ความเท่าเทียมทางเพศ
– (5.c) เลือกใช้และเสริมความเข้มแข็งแก่นโยบายที่ดีและกฎระเบียบที่บังคับใช้ได้ เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและการเพิ่มอำนาจให้แก่ผู้หญิงและเด็กหญิงทุกคนในทุกระดับ
#SDG10 ลดความเหลื่อมล้ำ
– (10.2) ให้อำนาจและส่งเสริมความครอบคลุมด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองสำหรับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงอายุ เพศ ความบกพร่องทางร่างกาย เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ แหล่งกำเนิด ศาสนา หรือสถานะทางเศรษฐกิจหรือสถานะอื่น ๆ ภายในปี 2573
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.3) ยกระดับการพัฒนาเมืองและขีดความสามารถให้ครอบคลุมและยั่งยืน เพื่อการวางแผนและการบริหารจัดการการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์อย่างมีส่วนร่วม บูรณาการและยั่งยืนในทุกประเทศ ภายในปี 2573
#SDG16 ความสงบสุข ยุติธรรม เเละสถาบันเข้มเเข็ง
– (16.7) สร้างหลักประกันว่าจะมีกระบวนการตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ครอบคลุม มีส่วนร่วม และมีความเป็นตัวแทนที่ดี ในทุกระดับการตัดสินใจ
ผู้เขียน: อรวิชดา กาวิล
สถาบันการศึกษา: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผลงานดังกล่าวเป็นผลงานจากการประกวดโครงการเขียนเคลื่อนโลกด้วย SDGs ภายใต้หัวข้อ “หากได้เป็นผู้ว่าฯ จะส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในจังหวัดตนเองอย่างไร”