1. ประเด็นการพัฒนาที่พื้นที่ให้ความสำคัญ
การทบทวนความสำคัญของประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ปีที่ 2 ของภาคกลาง มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 29 คน แบ่งเป็น ภาครัฐ จำนวน 14 คน ภาคเอกชน จำนวน 3 คน ภาคประชาสังคม/องค์กรชุมชน/ชาวบ้าน จำนวน 2 คน ภาควิชาการ จำนวน 7 คน ภาคส่วนอื่น ๆ จำนวน 1 คน และมีผู้ไม่ให้คำตอบ จำนวน 2 คน
ตารางเปรียบเทียบการทบทวนความสำคัญของประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคกลาง ปีที่ 1 และปีที่ 2
ลำดับ | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 |
1 | ภาคการท่องเที่ยวถดถอยและหดตัว | เศรษฐกิจชะลอตัว |
2 | อาชญากรรมและคดียาเสพติด | ภาระหนี้สินครัวเรือน |
3 | ภาระหนี้สินครัวเรือน | โรคอุบัติใหม่ |
4 | เศรษฐกิจชะลอตัว | อาชญากรรมและคดียาเสพติด |
5 | โรคอุบัติใหม่ | มลพิษทางอากาศ |
จากตารางข้างต้น สรุปได้ว่าประเด็นการพัฒนา 5 ลำดับแรกที่พื้นที่ภาคกลางให้ความสำคัญในปีที่ 1 และปีที่ 2 มีความแตกต่างกันเพียง 2 ประเด็น กล่าวคือ ประเด็น ‘ภาคการท่องเที่ยวถดถอยและหดตัว’ ปรากฏเฉพาะในปีที่ 1 และ ประเด็น ‘มลพิษทางอากาศ’ ปรากฏเฉพาะในปีที่ 2 ทั้งนี้ สรุปประเด็นสำคัญทั้งหมดโดยแบ่งตามมิติต่าง ๆ ได้ดังนี้ ประเด็นภายใต้มิติเศรษฐกิจ 3 ประเด็น ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวถดถอยและหดตัว ภาระหนี้สินครัวเรือน เศรษฐกิจชะลอตัว ประเด็นภายใต้มิติสังคม 2 ประเด็น ได้แก่ อาชญากรรมและคดียาเสพติด โรคอุบัติใหม่ และประเด็นภายใต้มิติสิ่งแวดล้อม 1 ประเด็น ได้แก่ มลพิษทางอากาศ
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในการลำดับประเด็น เนื่องจากประเด็นที่พื้นที่ให้ความสำคัญมากที่สุดในปีที่ 1 คือภาคการท่องเที่ยวถดถอยและหดตัว แต่ปีที่ 2 คือ เศรษฐกิจชะลอตัว
2. งานวิจัยที่พื้นที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสำคัญ
การประชุมระดมความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญของภาคกลาง สรุปได้ว่าพื้นที่ต้องการงานวิจัยเพื่อตอบสนองต่อปัญหาระดับพื้นที่ทั้งสิ้น 16 ประเด็น แบ่งตามมิติดังนี้
- มิติเศรษฐกิจ ได้แก่
1. งานวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน โดยสนับสนุนการนำจุดแข็งและอัตลักษณ์ของชุมชนมาใช้ในการพัฒนา [SDG8]
2. งานวิจัยด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้น่าสนใจ มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการตลาดยุคดิจิทัลให้แก่ชุมชน [SDG8, SDG9]
3. งานวิจัยเชิงระบบของภาคเกษตรกรรมอย่างเป็นองค์รวมเพื่อหาทางออกของปัญหาแก่เกษตรกร [SDG2]
4. งานวิจัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจครัวเรือนและการแก้ไขปัญหาภาวะหนี้สินของครัวเรือน [SDG1]
5. งานวิจัยปัญหาในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและสิทธิในการครอบครองที่ดินของชุมชนและกลุ่มคนยากจน กลุ่มคนชายขอบ รวมทั้งการจัดการทรัพยากรและสิทธิของชุมชน [SDG1] - มิติสังคม ได้แก่
1. งานวิจัยด้านพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคอุบัติใหม่ในคนและสัตว์ [SDG3]
2. งานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการเครือข่ายความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชนในการแก้ไขปัญหาช่วงภาวะวิกฤติ [SDG11, SDG17]
3. งานวิจัยที่ศึกษาความเชื่อมโยงของระบบการคมนาคมขนส่งสาธารณะทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศเพื่อหาทางออกของการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งสำหรับประชาชน [SDG9, SDG11]
4. งานวิจัยเชิงระบบเกี่ยวกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนและเป็นองค์รวม [SDG10]
5. งานวิจัยเกี่ยวกับสังคมสูงวัยโดยศึกษาทั้งระบบอย่างเชื่อมโยงกัน เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขภาพและสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อเตรียมสังคมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านได้อย่างยั่งยืน [SDG3]
6. งานวิจัยระบบการศึกษาไทยอย่างเป็นองค์รวมเพื่อหาทางออกของการพัฒนาการศึกษาประเทศไทยให้ตอบสนองและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกมิติ ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบ รวมทั้งการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อนำไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างยั่งยืน [SDG4]
7. งานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนานักวิจัยของชุมชนโดยสนับสนุนให้ชุมชนเป็นผู้วิจัยและสามารถหาทางออกให้กับการแก้ไขปัญหาของชุมชนด้วยตนเอง [SDG10]
8. งานวิจัยเชิงระบบเกี่ยวกับความรุนแรงและอาชญากรรมสมัยใหม่ในสังคมไทย เพื่อสร้างองค์ความรู้และแนวทางของการป้องกันและการแก้ไขปัญหา เช่น พฤติกรรมของการใช้ความรุนแรงจากคนในหน่วย งานความมั่นคง การก่ออาชญากรรมหมู่ [SDG16]
9. งานวิจัยปัญหาความเหลื่อมล้ำจากการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการของภาครัฐ [SDG10, SDG16] - มิติสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. การจัดการภัยพิบัติชุมชนและการพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานสำหรับรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง [SDG11]
2. การพัฒนาความรู้และแนวทางของการจัดการขยะจากภาคการเกษตร [SDG11, SDG12]
นอกจากนี้ การประชุมระดมความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญยังระบุถึงหน่วยงานที่ได้ทํางานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนกลไกวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ระดับภาคกลาง ได้แก่
- องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น : บทบาทหน้าที่ เช่น เป็นผู้นำความรู้และงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาของชุมชน/ นำงานวิจัยและองค์ความรู้ไปเผยแพร่และต่อยอดขยายผลในพื้นที่ต่าง ๆ
- สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) : บทบาทหน้าที่ เช่น ดูแลและบริหารจัดการสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัด/ ใช้ความรู้และงานวิจัยในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
- สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทวิยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี มหาวิทวิยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน : บทบาทหน้าที่ เช่น ศึกษาวิจัยและผลิตองค์ความรู้เพื่อประโยชน์กับชุมชน/ สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการทำวิจัย
- พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) : บทบาทหน้าที่ เช่น ดูแลและให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบางและคนไร้ที่พึ่งในพื้นที่จังหวัด/ ร่วมมือกับนักวิจัยในการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง
- สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด (พช.) : บทบาทหน้าที่ เช่น ดูแลและแก้ไขปัญหาด้านที่ดินและที่อยู่อาศัย/ ส่งเสริมริและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
- สมัชชาสุขภาพจังหวัด : บทบาทหน้าที่ เช่น จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายจากระดับจังหวัดไปสู่ระดับประเทศ/ กำหนดโจทย์สำหรับการวิจัยร่วมกับหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ในพื้นที่
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมริสุขภาพ (สสส.) : บทบาทหน้าที่ เช่น สนับสนุนงบประมาณ ความรู้ และร่วมทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายในจังหวัดกับทุกภาคส่วนในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาพื้นที่และสร้างเสริมสุขภาวะของชุมชน
- สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) : บทบาทหน้าที่ เช่น สนับสนุนงบประมาณ ความรู้ เครื่องมือ และผู้เชี่ยวชาญ สำหรับการพัฒนานวัตกรรมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อการแก้ไขปัญหาชุมชน
3. ข้อเสนอแนะสำหรับการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วน
จากกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ให้ข้อเสนอแนะต่อการทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนกลไก ววน. ระดับพื้นที่ เช่น
- จัดตั้งคณะทำงานบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนระบบ ววน. ในพื้นที่ โดยมีผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีบทบาทและหน้าที่ของการเสนอโจทย์วิจัยที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ พร้อมทั้งดูแล กำกับ ติดตาม ประเมินผล การทำวิจัยและการนำงานวิจัยไปสู่การกำหนดนโยบาย และมุ่งสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดขึ้นได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- ส่งเสริมบทบาทคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาของพื้นที่
- จัดตั้งเครือข่าย/กลุ่ม Think Tank ของจังหวัดที่มีผู้เชี่ยวชาญจากภาคส่วนต่าง ๆ มาช่วยกันคิดค้นหาทางออกและกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่โดยตั้งอยู่บนฐานการใช้ความรู้ ข้อมูล อย่างรอบด้านและถูกต้อง
- สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่มีบทบาทสนับสนุนองค์ความรู้ใหม่ ๆ แก่ชุมชน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ชุมชน
- ส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของชุมชนให้มีความรู้และเครื่องมือในการคิดและจัดทำ แผนพัฒนาชุมชนอย่างมียุทธศาสตร์ มีกระบวนการติดตามและประเมินผล และการถอดบทเรียนและองค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- มีการเผยแพร่ สื่อสาร งานวิจัยและองค์ความรู้ออกสู่สาธารณะเพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายการใช้ประโยชน์งานวิจัยและองค์ความรู้ ที่สร้างผลกระทบการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
- การทำฐานข้อมูลงานวิจัยที่เข้าถึงได้ง่ายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสามารถนำงานวิจัยและองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้จริงเพิ่มมากขึ้น
คณะวิจัยภาคกลาง : ดร. บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล (มหาวิทยาลัยนเรศวร) ดร.เดชรัต สุขกำเนิด (นักวิจัยอิสระ) นาวิน โสภาภูมิ (นักวิจัยอิสระ) และคณะ
● บทความที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Area Need
– Introduction of Area Need | เราจะรู้ได้อย่างไรว่างานวิจัยที่มีอยู่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นที่
– พื้นที่ต้องการอะไร? : ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคเหนือ
– Area Need พื้นที่ต้องการอะไร? | ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
– พื้นที่ต้องการอะไร?: ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคตะวันออก
– พื้นที่ต้องการอะไร? : ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคกลาง
– พื้นที่ต้องการอะไร? : ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคใต้
– พื้นที่ต้องการอะไร?: ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคใต้ชายแดน
– Area Need 05 | Area Need 2: What’s next step? การติดตาม และวางแผนต่อไปสำหรับโครงการความต้องการของพื้นที่ ปีที่ 2
– บทสรุปความต้องการของพื้นที่: สิ่งที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องการเพื่อแก้ปัญหาสำคัญ
– บทสรุปความต้องการของพื้นที่: สิ่งที่ภาคเหนือต้องการเพื่อแก้ปัญหาสำคัญ
ซีรีส์ Area Need จะสรุปข้อค้นพบสำคัญของโครงการปีที่ 1 และอัปเดตสิ่งที่เรากำลังทำต่อในปีที่ 2 ไปจนถึง เมษายน 2566
อติรุจ ดือเระ – เรียบเรียง
พิมพ์นารา อินต๊ะประเสริฐ – บรรณาธิการ
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ