1. ประเด็นการพัฒนาที่พื้นที่ให้ความสำคัญ
การทบทวนความสำคัญของประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ปีที่ 2 ของภาคตะวันออก มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 50 คน แบ่งเป็นภาครัฐ จำนวน 35 คน ภาคเอกชน จำนวน 4 คน ภาคประชาสังคม/ภาคองค์กรชุมชน/ชาวบ้าน จำนวน 1 คน ภาควิชาการ จำนวน 10 คน ได้ผลการทบทวนเปรียบเทียบกับโครงการปีที่ 1 ดังตารางต่อไปนี้
ตารางเปรียบเทียบการทบทวนความสำคัญของประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคตะวันออก ปีที่ 1 และปีที่ 2
ลำดับ | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 |
1 | ปริมาณกากของเสียในอุตสาหกรรม | ค่าครองชีพสวนทางกับค่าจ้าง |
2 | ปัญหาภัยแล้งในภาคตะวันออก | ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น |
3 | ภัยแล้งและอุทกภัย เนื่องจาก Climate change | ปริมาณกากของเสียในอุตสาหกรรม |
4 | ป่าชายเลนที่กำลังสูญหาย | การชะลอตัวของเศรษฐกิจ |
5 | ขยะทะเลในภาคตะวันออก | ภัยแล้งและอุทกภัย เนื่องจาก Climate change |
จากตารางข้างต้น สรุปได้ว่าประเด็นการพัฒนา 5 ลำดับแรกที่พื้นที่ภาคตะวันออกให้ความสำคัญในปีที่ 1 และปีที่ 2 โดยในปีที่ 1 ประกอบด้วย ประเด็นภายใต้มิติสิ่งแวดล้อม 5 ประเด็น คือ ปริมาณกากของเสียในอุตสาหกรรม ปัญหาภัยแล้งในภาคตะวันออก ภัยแล้งและอุทกภัยเนื่องจาก Climate change ป่าชายเลนที่กำลังสูญหาย และขยะทะเลในภาคตะวันออก ซึ่งตรงกับปีที่ 2 ทั้งหมด 2 ประเด็น คือ ปริมาณกากของเสียในอุตสาหกรรม และ ภัยแล้งและอุทกภัยเนื่องจาก Climate change ขณะที่ ในปีที่ 2 จะเป็นประเด็นภายใต้มิติเศรษฐกิจ 3 ประเด็น ได้แก่ ค่าครองชีพสวนทางกับค่าจ้าง ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยทั้งในปีที่ 1 และปีที่ 2 ไม่มีประเด็นในมิติสังคม
2. งานวิจัยที่พื้นที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสำคัญ
การประชุมระดมความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญของภาคตะวันออก สรุปได้ว่าพื้นที่ต้องการงานวิจัยเพื่อตอบสนองต่อปัญหาระดับพื้นที่ทั้งสิ้น 16 ประเด็น แบ่งตามมิติ ดังนี้
- มิติเศรษฐกิจ ได้แก่
- การวิจัยพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่มาจากผลิตผลการเกษตร เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากตาลโตนด มะม่วง จิ้งหรีด รวมถึงการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประยุกต์กับสินค้าในภาคเกษตร [SDG2]
- งานวิจัยนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่า โดยใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และเพิ่มช่องทางการตลาด [SDG8, SDG9]
- งานวิจัยเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SME สนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ต่อ [SDG8, SDG9]
- การพัฒนาศักยภาพแรงงาน ให้ตรงกับความต้องการของตลาด [SDG4, SDG8]
- งานวิจัยเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก [SDG8, SDG12]
- มิติสิ่งแวดล้อม ได้แก่
- งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการขยะของเสียภาคการเกษตรและปศุสัตว์ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อกำจัดกากของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและครัวเรือนในพื้นที่ พร้อมนำขยะกลับมาใช้ใหม่ [SDG11, SDG12]
- การแปรรูปอ้อย วัชพืช เศษวัสดุจากการเกษตรเพื่อลดการเผา [SDG11, SDG12]
- งานวิจัยเกี่ยวกับการดูแลและกำจัดโรคที่เกิดกับพืชในพื้นที่ เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ และแนวทางการใช้สารเคมีเพื่อช่วยรักษาโรคอย่างเหมาะสม [SDG2]
- การทำเกษตรและปศุสัตว์โดยไม่ส่งผลให้เกิดมลพิษ และทำให้เกิดผลกระทบต่อ Climate Change [SDG2, SDG13]
- งานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี การใช้ประโยชน์จากแม่น้ำบางปะกง [SDG6]
- มิติสังคม ได้แก่
- งานวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อทำความเข้าใจปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น คุณธรรม ยาเสพติด อาชญากรรมในเด็กและเยาวชน เป็นต้น [SDG16]
- การวิจัยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนในพื้นที่ให้เท่าเทียมกัน [SDG4, SDG10]
- งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดสรรและการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ให้เกิดประสิทธิภาพ เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ [SDG11]
- งานวิจัยเกี่ยวกับจัดสวัสดิการ เพื่อให้คนได้เข้าถึงบริการสาธารณะ บริการสาธารณสุข ตลอดจนสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวที่มีผู้พึ่งพิง [SDG1, SDG3]
- งานวิจัยเพื่อเพิ่มทุนทางสังคมและพัฒนาศักยภาพ ของเด็กและเยาวชน และผู้สูงอายุ [SDG4, SDG10]
- งานวิจัยแก้ไขปัญหายาเสพติด ในเด็กและเยาวชน [SDG3, SDG16]
นอกจากนี้ การประชุมระดมความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญยังระบุถึงหน่วยงานที่ได้ทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนกลไกวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ระดับภาคเหนือ แบ่งตามภาคส่วนที่เข้ามามีบทบาทได้ดังนี้
ภาคการศึกษาและวิชาการ ได้แก่
- มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์ (Science park) และ มหาวิทยาลัยบูรพา ช่วยพัฒนางานวิจัยต่อยอดผลิตภัณฑ์สมุนไพร การยืดอายุอาหาร เทคโนโลยี นวัตกรรม
- อาชีวะ วิทยาลัยการอาชีพ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน โรงเรียนกำเนิดวิทย์ สอนการอาชีพ / ทักษะอาชีพ / ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ลดความรุนแรง
- ศูนย์วิจัยเกษตร ศูนย์วิจัยวังจันทร์ วัลเล่ย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช .) ร่วมกันพัฒนางานวิจัยและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์
ภาครัฐ ได้แก่
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ช่วยสนับสนุนการลงพื้นที่และการทำความรู้จัก ความเข้าใจปัญหา ความต้องการลงพื้นที่ ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลระดับพื้นที่อย่างแท้จริง และเชื่อมโยงเครือข่ายในชุมชน
- อุตสาหกรรมจังหวัด กำกับดูแลมาตรฐานอุตสาหกรรม
- แรงงานจังหวัด ดูแล พัฒนาแรงงาน และสวัสดิการ
- กรมพัฒนาชุมชน ส่งเสริมและพัฒนา และดูแลมาตรฐาน ของผู้ประกอบการท้องถิ่น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ดูแลด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ดูแลสวัสดิการ และช่วยเหลือ กลุ่มเปราะบาง
ภาคประชาชน ได้แก่
- ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้งและสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาที่เชื่อมโยงกับพื้นที่
- ชุมชนในพื้นที่ ให้ข้อมูลแหล่งทรัพยากร เช่น Data Base แหล่งเกิดภูมิปัญญา โดยผู้นำ สามารถนำผลจากงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ผู้ให้ข้อมูลและร่วมจัดกิจกรรม
ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และหน่วยงานส่งเสริมผู้ประกอบการ ได้แก่
- หอการค้าและสภาอุตสาหกรรม สามารถช่วยให้โจทย์และประเด็นสำหรับการทำวิจัยที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงกับผู้ประกอบการ สนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการและพัฒนาอุตสาหกรรม
- ผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งหมด (SME Smart Farmer) ให้ข้อมูลในงานวิจัยความต้องการในอนาคตของพื้นที่ แลกเปลี่ยนความรู้ การทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR)
- พาณิชย์จังหวัด ควบคุมดูแลกำกับด้านเศรษฐกิจการค้า
- สถาบันไทย-เยอรมัน พัฒนาเครื่องจักรการผลิต
3. ข้อเสนอแนะสำหรับการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน
จากกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ให้ข้อเสนอแนะต่อการทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนกลไก ววน. ระดับพื้นที่ เช่น
- ต้องการนักวิจัยจากสถาบันการศึกษา ที่สามารถเป็นพี่เลี้ยงในการทำวิจัยให้กับชุมชน
- มีการกระจายการทำงานไปทุกภาคส่วน ครอบคลุมทุกมิติ ราชการ วิชาการ ไม่จำกัดแค่จากส่วนกลางเท่านั้น
- เปิดโอกาสให้กลุ่มคนจากหลายภาคส่วนมีส่วนร่วมให้ความคิดเห็นในการกำหนดโจทย์วิจัย ทั้งภาคประชาสังคม ผู้ประกอบการ เกษตร พร้อมสร้างกลไกการมีส่วนร่วม และเครือข่ายการทำงานที่ยั่งยืน
- ต้องการการสนับสนุนให้เกิดการจัดทำฐานข้อมูลชุมชน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์กับการวิจัยและการแก้ไขปัญหาชุมชน และมีการอัปเดตข้อมูลที่ต่อเนื่อง
- ควรผลักดันให้นำงานวิจัยไปใช้ในการบริหารจัดการส่วนท้องถิ่น ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน
- เปิดเผยงานวิจัยที่มีอยู่ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับทราบ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์สามารถเข้าถึงได้ รวมถึงเพิ่มการสื่อสารประชาสัมพันธ์งานวิจัย เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
- การพัฒนาและส่งเสริมให้ชุมชนสามารถทำวิจัย โดยใช้กระบวนการทำงานในการแก้ไขปัญหาของตนเอง
- บริหารจัดการเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนสนับการต่อยอด
- สร้างฐานข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการแบ่งปันองค์ความรู้
- สร้างระบบการจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ในเรื่ององค์ความรู้และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
คณะวิจัยภาคตะวันออก: รศ. ดร.ดวงพร ภู่ผะกา และ ผศ. ดร.พิชณสิณี อริยธนกตวงศ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ และคณะ
● บทความที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Area Need
– Introduction of Area Need | เราจะรู้ได้อย่างไรว่างานวิจัยที่มีอยู่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นที่
– พื้นที่ต้องการอะไร? : ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคเหนือ
– Area Need พื้นที่ต้องการอะไร? | ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
– พื้นที่ต้องการอะไร?: ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคตะวันออก
– พื้นที่ต้องการอะไร? : ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคกลาง
– พื้นที่ต้องการอะไร? : ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคใต้
– พื้นที่ต้องการอะไร?: ความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคใต้ชายแดน
– Area Need 05 | Area Need 2: What’s next step? การติดตาม และวางแผนต่อไปสำหรับโครงการความต้องการของพื้นที่ ปีที่ 2
– บทสรุปความต้องการของพื้นที่: สิ่งที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องการเพื่อแก้ปัญหาสำคัญ
– บทสรุปความต้องการของพื้นที่: สิ่งที่ภาคเหนือต้องการเพื่อแก้ปัญหาสำคัญ
– บทสรุปความต้องการของพื้นที่: สิ่งที่ภาคกลางต้องการเพื่อแก้ปัญหาสำคัญ
ซีรีส์ Area Need จะสรุปข้อค้นพบสำคัญของโครงการปีที่ 1 และอัปเดตสิ่งที่เรากำลังทำต่อในปีที่ 2 ไปจนถึง เมษายน 2566
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – เรียบเรียง
พิมพ์นารา อินต๊ะประเสริฐ – บรรณาธิการ
วิจย์ณี เสนเเดง – ภาพประกอบ