ยูเนสโกอนุมัติจัดตั้ง พื้นที่สงวนชีวมณฑลใหม่ 11 แห่ง ใน 11 ประเทศ ย้ำความสำคัญความหลากหลายทางชีวภาพและมรดกทางวัฒนธรรม

ยูเนสโก (UNESCO) อนุมัติการจัดตั้ง พื้นที่สงวนชีวมณฑล (biosphere reserve) 11 แห่ง ใน 11 ประเทศ ล่าสุด ได้แก่ เบลเยียม แกมเบีย โคลอมเบีย สาธารณรัฐโดมินิกัน อิตาลี มองโกเลีย เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐเกาหลี สโลวีเนีย และสเปน ครอบคลุมพื้นที่กว้างรวม 37,400 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับขนาดประเทศเนเธอร์แลนด์​ ทำให้ปัจจุบัน มีพื้นที่สงวนชีวมณฑล รวมทั้งหมด 759 แห่ง ใน 136 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและมรดกทางวัฒนธรรม

เขตพื้นที่สงวนชีวมณฑลเป็นพื้นที่ธรรมชาติและวัฒนธรรมขนาดใหญ่ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก ภายใต้โครงการ Man and the Biosphere Program (MAB) เป็นเหมือนห้องปฏิบัติการธรรมชาติที่เราได้เรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาที่สมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ครอบคลุมระบบนิเวศทั้งบนบก ในน้ำ และชายฝั่งทะเล มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ การอนุรักษ์ – ปกป้องระบบนิเวศและภูมิทัศน์ รวมถึงความหลากหลายทางพันธุกรรม การพัฒนา – ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม และ สนับสนุนการเรียนรู้ – ส่งเสริมการศึกษาและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการวิจัยและการติดตามตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

พื้นที่สงวนชีวมณฑลใหม่ทั้ง 11 แห่งนี้ ที่ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  1. พื้นที่สงวนชีวมณฑลข้ามพรมแดนเค็มเพน-โบร๊ก (Kempen-Broek): ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนระหว่างเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ มีลักษณะเป็นที่ราบต่ำสลับเนินทรายสวยงาม ภายในเคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำกว้างใหญ่ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ยังคงหลงเหลือหนองบึง ป่าพรุ และทุ่งหญ้า ทะเลสาบ และลำธาร เป็นแหล่งอยู่อาศัยสำคัญของแมลงปอ มีหมู่บ้านและเมืองตั้งอยู่บนที่ราบสูง และเป็นแหล่งเนินทรายและพืชพรรณหายาก อุดมไปด้วยนกนานาชนิด พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเกษตรกรรมสำคัญ มีประชากรอยู่ราว 75,000 คน นับเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งแรกของเบลเยียม
  2. พื้นที่สงวนชีวมณฑลดาริเอ็น นอร์เต โชโคอาโน (Darién Norte Chocoano): ตั้งอยู่ในโคลอมเบีย เป็นพื้นที่เชื่อมต่อที่อยู่ของพืชและสัตว์ระหว่างอเมริกาเหนือและใต้ มีทั้งป่าฝนเขตร้อนและพื้นที่ชายฝั่งทะเล อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตหายาก เช่น อินทรีฮาร์ปีและกบมีพิษสีสันสดใส นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญและมีชุมชนพื้นเมืองและชาวอัฟริกันโคลอมเบียอาศัยอยู่ โดยคนในพื้นที่ร่วมกันผลักดันให้พื้นที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชีวมณฑล และมีแผนพัฒนาชุมชนโดยเน้นการเกษตรและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  3. พื้นที่สงวนชีวมณฑลมาเดร เด ลัส อากัวส (Madre de las Aguas): ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐโดมินิกัน เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ ทั้งที่ราบสูงและน้ำตก อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะนกกว่า 88 ชนิด ซึ่ง 20 ชนิด เป็นสายพันธุ์เฉพาะถิ่นและ 17 ชนิด กำลังถูกคุกคาม คนในพื้นที่เชื่อว่าการจัดตั้งเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลจะช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดิน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
  4. พื้นที่สงวนชีวมณฑลนิอูมิ (Niumi): ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแกมเบีย มีทั้งป่าชายเลน ป่าเขตร้อน และทุ่งหญ้าสะวันนา รวมถึงเกาะคุตา คินเตห์ ซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก อุทยานแห่งนี้ยังเป็นแหล่งทำกินสำคัญของประชาชนราว 178,000 คน ที่นี่นับเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งแรกของแกมเบีย
  5. พื้นที่สงวนชีวมณฑลคอลลี ยูแกนี (Colli Euganei): ตั้งอยู่ในอิตาลี ครอบคลุมพื้นที่เนินเขาภูเขาไฟกว่า 81 ลูก รวมถึงยอดเขาโมนเตเวนดาที่โดดเด่นท่ามกลางบ่อน้ำพุร้อนและทุ่งราบเขียวขจี เต็มไปด้วยสวนมะกอกและไร่องุ่น พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีประวัติศาสตร์ภูเขาไฟและน้ำพุร้อนเป็นจุดเด่น ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้กำลังส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืนและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ พร้อมกับรักษาสมดุลระหว่างกิจกรรมเศรษฐกิจของมนุษย์และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  6. พื้นที่สงวนชีวมณฑลข้ามพรมแดนจูเลียน แอลป์ (Julian Alps): ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนระหว่างอิตาลีและสโลวีเนีย เป็นพื้นที่คุ้มครองขนาดใหญ่ที่มีภูเขา น้ำตก และทะเลสาบใสสะอาดเป็นจุดเด่น พร้อมทั้งเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหายากอย่างหมีดำ เสือดาว แมวป่า และนาก ผลสำเร็จการจัดตั้งพื้นที่สงวนนี้เกิดจากความร่วมมือของคนในพื้นที่ องค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งสองประเทศ
  7. พื้นที่สงวนชีวมณฑลคาร์ อูส เลค (Khar Us Lake): ตั้งอยู่ในมองโกเลีย ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ทั้งทะเลสาบ ทะเลทราย ภูเขาสูง และทุ่งหญ้าสเต็ปป์ เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของกลุ่มชนพื้นเมืองที่ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย สอดคล้องกับธรรมชาติ พื้นที่สงวนแห่งนี้มุ่งเน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาพื้นที่และสัตว์ป่า
  8. พื้นที่สงวนชีวมณฑลยาปายอส (yApayaos): ตั้งอยู่ในฟิลิปปินส์ ประกอบด้วยภูเขาสูง ทุ่งราบ และแม่น้ำอะปายาวอันเป็นแหล่งน้ำสำคัญ มีชนพื้นเมืองหลายกลุ่มอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน พื้นที่แห่งนี้เป็นบ้านของพืชและสัตว์นานาชนิด รวมทั้งนกอินทรีย์ฟิลิปปินส์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำนาและปลูกข้าวโพด แต่ปัจจุบันเริ่มมีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เกิดขึ้นแล้ว
  9. พื้นที่สงวนชีวมณฑลชางเนียง (Changnyeong): ตั้งอยู่ในเกาหลีใต้ เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีทั้งป่าเขา ป่าชุ่มน้ำ และพื้นที่เกษตรกรรม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำอุโป ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟู นกช้อนหอยหงอน (Asian crested ibis) สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ นอกจากนี้ ชุมชนในพื้นที่ยังร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติและพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กัน โดยเน้นการเกษตรแบบยั่งยืนและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
  10. พื้นที่สงวนชีวมณฑลวัล ดาแรน (Val d’Aran): ตั้งอยู่ในสเปน มีภูมิอากาศและพืชพันธุ์ที่โดดเด่น เนื่องจากเป็นพื้นที่แบ่งเขตระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ยังเป็นถิ่นฐานของชาว Occitan ที่มีภาษาและวัฒนธรรมเฉพาะตัว ชุมชนท้องถิ่นส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม หัตถกรรม และการค้า การจัดตั้งพื้นที่สงวนครั้งนี้มีการวางแผนร่วมกับชาวบ้านเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเลี้ยงสัตว์
  11. พื้นที่สงวนชีวมณฑลอิราติ (Irati): ตั้งอยู่ในสเปน เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะป่าสนบีชขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป ครอบคลุมพื้นที่กว่า 537 ตารางกิโลเมตร มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2,435 คน ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการบริหารจัดการพื้นที่สงวนชีวมณฑลมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2015 โดยมีคณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาจากหลากหลายกลุ่ม อาทิ ชุมชน สิ่งแวดล้อม และสตรี ร่วมกำหนดนโยบาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการอนุรักษ์โดยชุมชนอย่างแท้จริง

ในประเทศไทยเองนั้น จากข้อมูลถึงปี 2023 มีพื้นที่สงวนชีวมณฑลที่ได้รับการับรองอยู่ 5 แห่ง ได้แก่ พื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่สงวนชีวมณฑลป่าสักห้วยทาก จังหวัดลำปาง พื้นที่สงวนชีวมณฑลแม่สา-คอกม้า จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง จังหวัดระนอง และพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– UNESCO รับรอง ‘โคราชจีโอพาร์ค’ เป็นอุทยานธรณีแห่งที่ 4 ของโลก
 พื้นที่ป่ามรดกโลก 257 แห่ง ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้มากถึง 190 ล้านตันต่อปี
 รายงานของ UNEP ชี้ รับมือความท้าทายของโลก ต้องอาศัยการจัดการที่ใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน พร้อมเน้นย้ำบทบาทของชุมชนท้องถิ่น

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG2 ขจัดความหิวโหย
– (2.4) สร้างหลักประกันว่าจะมีระบบการผลิตอาหารที่ยั่งยืนและดำเนินการตามแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่มีภูมิคุ้มกันที่จะเพิ่มผลิตภาพและการผลิต ซึ่งจะช่วยรักษาระบบนิเวศ เสริมขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาวะอากาศรุนแรง ภัยแล้ง อุทกภัย และภัยพิบัติอื่น ๆ และจะช่วยพัฒนาคุณภาพของดินและที่ดินอย่างต่อเนื่อง ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG6 น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล
– (6.6) ปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำ รวมถึงภูเขา ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ ชั้นหินอุ้มน้ำ และทะเลสาบ ภายในปี พ.ศ. 2563
#SDG8 งานที่มีคุณค่า และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
– (8.9) ออกแบบและใช้นโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยสร้างงานและส่งเสริมวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ภายในปี พ.ศ. 2573
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.4) เสริมความพยายามในการปกป้องและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของโลก
#SDG12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
– (12.8) สร้างหลักประกันว่าประชาชนในทุกแห่งมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีความตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนและวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ภายในปี พ.ศ. 2573
– (12.b) พัฒนาและดำเนินการใช้เครื่องมือเพื่อติดตามผลกระทบของการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่สร้างงานและส่งเสริมวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
#SDG14 ทรัพยากรทางทะเล
– (14.2) บริหารจัดการและปกป้องระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบที่มีนัยสำคัญ รวมถึงโดยการเสริมภูมิต้านทานและปฏิบัติการเพื่อฟื้นฟู เพื่อบรรลุการมีมหาสมุทรที่มีสุขภาพดีและมีผลิตภาพ ภายในปี พ.ศ. 2563
– (14.5) ภายในปี พ.ศ. 2563 อนุรักษ์พื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งอย่างน้อยร้อยละ 10 โดยให้เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศและภายในประเทศ และอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่มีอยู่
#SDG15 ระบบนิเวศบนบก
– (15.1) สร้างหลักประกันว่าจะมีการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ระบบนิเวศบนบกและแหล่งน้ำจืดในแผ่นดิน รวมทั้งบริการทางระบบนิเวศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ ภูเขาและพื้นที่แห้งแล้ง โดยเป็นไปตามข้อบังคับภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศ ภายในปี พ.ศ. 2563
– (15.4) สร้างหลักประกันว่าจะมีการอนุรักษ์ระบบนิเวศภูเขาและความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศเหล่านั้น เพื่อเพิ่มพูนขีดความสามารถของระบบนิเวศในการสร้างผลประโยชน์อันสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. 2573

แหล่งที่มา
UNESCO designates 11 new biosphere reserves (UNESCO)
Biosphere Reserves – inspiring action for Agenda 2030 (GIZ)

ผลงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการกลยุทธไตรพลังในการดำเนินการเพื่อสุขภาวะและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย

Author

  • Natetida Bunnag

    Social Media Manager - ตัวแทน 'คนธรรมดา' ในชุมชนนักวิชาการ อ่าน แปล และสื่อสารเรื่องความยั่งยืน

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น