Research Brief | ความเป็นไปได้และอุปสรรคในการขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สร้างประโยชน์ร่วมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ‘Climate Change’ เป็นปัญหาท้าทายร่วมกันของประเทศทั่วโลก เนื่องจากก่อผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมครอบคลุมต่อทั้งสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ภาคส่วนต่าง ๆ พยายามจัดการและตั้งรับปรับตัวเพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เร่งรัดขับเคลื่อนประเด็นเร่งด่วนนี้ โดยมีแผนระดับชาติและระดับหน่วยงานส่วนหนึ่งที่ถูกกำหนดให้นำมาปรับใช้เป็นแนวทาง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดำเนินงานภาพรวมอยู่ในระดับดีแต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย โดยต้องมีนโยบายและมาตรการในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุ SDG13 และต้องให้ความสำคัญกับจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายจากภัยพิบัติและปริมาณก๊าซเรือนกระจก จึงนำมาสู่การ งานวิจัยภายใต้โครงการ “การสร้างความร่วมมือเครือข่ายนักวิจัยและข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 13” โดย ดร.พรรณวีร์ เมฆวิชัย และคณะ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และอุปสรรคในการขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สร้างประโยชน์ร่วมของด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย


01 – ภาพสะท้อนที่มาของงานวิจัย

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) นับว่าเป็นเป็นเป้าหมายระดับสากลที่ประเทศทั่วโลกตกลงขยับขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อให้สามารถบรรลุได้ภายในปี 2573 โดย SDGs มี 17 เป้าหมาย (Goals) 169 เป้าหมายย่อย (Targets) และตัวชี้วัด 247 ตัว เพื่อใช้ติดตามและประเมินความก้าวหน้าของการดำเนินการที่ครอบคลุมมิติสำคัญ 3 มิติ คือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะมิติด้านสิ่งแวดล้อม กรณีสถานภาพการดำเนินงาน SDG 13 (การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) พบว่าประเทศไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับอยู่นิ่ง (stagnating) โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้ประกาศและกำหนดเป้าหมายที่จะเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) แต่ก็ยังมีความท้าทายในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยหากพิจารณาผลจากโครงการ “การวิเคราะห์สถานภาพและพัฒนาข้อเสนอแนะทางนโยบายเพื่อยกระดับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 13” ที่ดำเนินการเมื่อปี 2566 พบว่า สถานภาพการดำเนินการ SDG 13 ของประเทศไทยมีสถานการณ์ดำเนินงานภาพรวมอยู่ในระดับดีแต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย โดยต้องมีนโยบายและมาตรการในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุ SDG 13 และต้องให้ความสำคัญกับจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายจากภัยพิบัติและปริมาณก๊าซเรือนกระจก

นอกจากนี้โครงการข้างต้น ยังให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมและยกระดับ SDG 13 ว่าควรมีนโยบายเพิ่มเติมใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการบริหารจัดการเชิงกลไกเพื่อเพิ่มระดับการบูรณาการร่วมกันของหลายหน่วยงาน 2) ด้านการลดและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกเพื่อขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับทุกสาขา โดยเน้นในสาขาเกษตรและสาขาพลังงานและขนส่ง และ 3) ด้านความพร้อมในการรับมือและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อปรับตัวในทุกภาคส่วน ที่รวมไปถึงภาคการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ภาคการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ และภาคการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

จากเหตุผลข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการพัฒนาแผนและกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ 13 เพื่อส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงเพื่อการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงเป็นที่มาของงานวิจัยภายใต้โครงการ “การสร้างความร่วมมือเครือข่ายนักวิจัยและข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 13” สนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และอุปสรรคในการขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สร้างประโยชน์ร่วมของด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย


02 – วิธีการศึกษา

โครงการวิจัยฯ ได้กำหนดขอบเขตการทบทวนวรรณกรรม (Scope of review) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและแนวทางที่สร้างประโยชน์ร่วมของการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ด้านการลดก๊าซเรือนกระจก มุ่งสนใจสาขาเกษตร และ สาขาการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ และ 2) ด้านความพร้อมในการรับมือและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ มุ่งสนใจสาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสาขาการจัดการน้ำ ซึ่งทั้งสองประเด็นสามารถพัฒนาเป็นนโยบายและแนวทางที่สร้างประโยชน์ร่วมของการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากนั้นได้สังเคราะห์สาระสำคัญของเอกสาร/แผนปฏิบัติราชการ เพื่อเปรียบเทียบนโยบายและแผนระดับชาติ (เช่น NAP, LTS, แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 – 2593) และ แผนปฏิบัติราชการระดับกระทรวงและกรม รวมถึงแผน/โครงการที่ครอบคลุมทั้งมิติด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (สาขาเกษตร และ สาขาการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้) และด้านความพร้อมในการรับมือและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (สาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร, สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ, สาขาการจัดการน้ำ) เพื่อวิเคราะห์หาช่องว่างเชิงนโยบายและความเป็นไปได้ในการกำหนดนโยบายร่วม สามารถจำแนกเอกสารได้ 2 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มแรก: เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินการของประเทศไทยจำนวน 8 แผน ดังต่อไปนี้

  1. Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy (Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning, 2022)
  2. Thailand’s National Adaptation Plan (Department of Climate Change and Environment, 2023)
  3. แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 – 2593 (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2558)
  4. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2565 – 2568) (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565)
  5. แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 – 2570 (คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร, 2566)
  6. แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2566 – 2580 (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2565ก)
  7. ร่าง พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. (กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, 2567) และ  
  8. (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุง ช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 – 2580)

กลุ่มที่สอง: แผนปฏิบัติราชการระดับหน่วยงาน หรือ แผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยพบว่าแผนที่เข้าเกณฑ์ตามที่โครงการวิจัยฯ กำหนด มีทั้งสิ้น 17 ฉบับ จาก 4 กระทรวง ดังนี้

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 7 แผน ได้แก่

  1. แผนปฏิบัติราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  2. แผนของสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  3. แผนของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
  4. แผนของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  5. แผนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  6. แผนของกรมป่าไม้
  7. แผนของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 8 แผน ดังนี้

  1. แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2566 – 2570
  2. แผนปฏิบัติราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  3. แผนของสำนักเศรษฐกิจการเกษตร
  4. แผนของกรมการข้าว
  5. แผนของกรมวิชาการเกษตร
  6. แผนของกรมส่งเสริมการเกษตร
  7. แผนของกรมพัฒนาที่ดิน
  8. แผนของกรมชลประทาน  

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 1 แผน ได้แก่

  1. แผนของกรมอุตุนิยมวิทยา

กระทรวงมหาดไทย จำนวน 1 แผน ได้แก่

  1. แผนของกรมโยธาธิการและผังเมือง

อย่างไรก็ตาม นโยบาย/แผน/โครงการ ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย เช่น แผนปฏิบัติราชการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2566-2570, แผนปฏิบัติราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2566-2570, แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติเป็นหลัก ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตการทบทวนวรรณกรรมของโครงการวิจัยฯ


03 – ผลการศึกษา

การสังเคราะห์สาระสำคัญของเอกสาร/แผนปฏิบัติราชการ ทั้งสิ้น 25 ฉบับ เพื่อสรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับดำเนินการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) และแนวทางที่สร้างประโยชน์ร่วม (Co-benefits) โดยภายใต้แนวทาง Co-benefits มีแนวทางที่ใช้แนวคิดการแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions; NbS) รวมอยู่ด้วย โดยเนื้อหาของเอกสาร/แผนปฏิบัติราชการ สามารถจำแนกเนื้อหาออกเป็น 4 กลุ่ม/ประเด็น ได้แก่ 1) กลุ่มการเกษตรเพื่ออาหารคนและสัตว์ (ประเด็นย่อย: การเพาะปลูกพืช ปศุสัตว์ และประมง) 2) กลุ่มปัจจัยและระบบการผลิตเพื่อการเกษตร (ประเด็นย่อย: ระบบน้ำเพื่อการเกษตร, การจัดการคุณภาพดินและปุ๋ยเพื่อการเกษตร, และการพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาคการเกษตร) 3) กลุ่มทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ (ประเด็นย่อย: พื้นที่ป่าธรรมชาติ พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ และพื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท) 4) กลุ่มการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรและการจัดการภัยพิบัติ (ประเด็นย่อย: น้ำท่วม น้ำแล้ง ความร้อน การกัดเซาะของแผ่นดิน และภัยอื่นๆ ที่เป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) มีข้อค้นพบที่สำคัญในแต่กลุ่มและประเด็น ดังนี้

กลุ่มการเกษตรเพื่ออาหารคนและสัตว์

ประเด็นย่อย : การเพาะปลูกพืช ปศุสัตว์ และประมง มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ปรากฎแนวทางการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกพืชโดยเฉพาะข้าว เช่น การปลูกข้าวโดยการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง ด้านปศุสัตว์ เช่น การปรับปรุงอาหารสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มการเกษตรเพื่ออาหารคนและสัตว์ สามารถจัดกลุ่มได้ 5 กลุ่ม ได้แก่ การผลิตข้าว การลดการเผาภาคเกษตร เกษตรคาร์บอนต่ำ ปศุสัตว์ และ ระบบ Carbon Credit ในภาคเกษตร
  • Adaptation พบว่า มีแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกพืช เช่น พัฒนาพันธุ์พืชที่ต้านทานศัตรูพืช ทนน้ำท่วม ปศุสัตว์ เช่น พัฒนาและปรับปรุงระบบการจัดการปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประมง เช่น เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงปลาจากแม่น้ำและลำคลองไปสู่กรงหรือระบบปิดเพื่อลดผลกระทบจากน้ำท่วมและความแห้งแล้ง สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่าให้ความสำคัญกับ ระบบเกษตร เช่น สนับสนุนงานวิจัยด้านการพัฒนาสายพันธุ์พืช ปศุสัตว์ และสัตว์น้ำ ที่หลากหลายตามบริบทของพื้นที่เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • Co-benefits พบว่า ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศประสิทธิภาพของทรัพยากรและผลผลิต การส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรด้วยระบบเกษตรกรรมยั่งยืน สนับสนุนแนวทางและมาตรการทางการเกษตรที่ดี (GAP) สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องสามารถจัดกลุ่มได้ 4 กลุ่ม ได้แก่ การผลิตข้าว มาตรฐานด้านเกษตร ปศุสัตว์และประมง และมาตรการทางการเงิน

กลุ่มปัจจัยและระบบการผลิตเพื่อการเกษตร

ประเด็นย่อย : ระบบน้ำเพื่อการเกษตร มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation จากการทบทวนเอกสารประเด็นระบบน้ำเพื่อการเกษตร ไม่ปรากฏแนวทางการดำเนินการและแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดก๊าซเรือนกระจกโดยตรง
  • Adaptation พบว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับประเด็นระบบน้ำเพื่อการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก โดยแนวทางการดำเนินการให้ความสำคัญกับพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่น้ำท่วม พื้นที่น้ำแล้ง รวมถึงมีการเสนอกลไกสนับสนุนการจัดการทรัพยากรน้ำ 3 กลไก ได้แก่ ระบบการจัดการน้ำ, แผนการจัดการ, และการสร้างความเข้มแข็งให้พื้นที่ สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่าให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและพัฒนาลำน้ำ การสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วมและกักเก็บน้ำ
  • Co-benefits พบว่า ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองและสงวนรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำให้มีความยั่งยืน และเน้นเรื่องการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ให้ความสำคัญกับการขยายพื้นที่ชลประทาน การปรับปรุงนโยบายการจัดการน้ำด้านอุปสงค์

ประเด็นย่อย : การจัดการคุณภาพดินและปุ๋ยเพื่อการเกษตร มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ปรากฏแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการหมักฟางข้าว การผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ด้วยเทคนิคแบบโดม และการจัดการดิน สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกให้ความสำคัญกับการไถกลบและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • Adaptation พบว่า แนวทางการดำเนินการให้ความสำคัญกับการเร่งฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพดินที่เสื่อมโทรม สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพดิน
  • Co-benefits พบว่า แนวทางการดำเนินการให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้นไปที่ประโยชน์หลายประการจากการเพิ่มความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศประสิทธิภาพของทรัพยากรและผลผลิต สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมตามค่าวิเคราะห์ดินและความต้องการพืช (SSNM)

ประเด็นย่อย : การพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาคการเกษตร มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ปรากฏโครงการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการจัดหาระบบและเตือนภัยระดับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และเฝ้าระวังก๊าซเรือนกระจก
  • Adaptation พบว่า มีการให้ความสำคัญกับแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก โดยประเด็นสำคัญ เช่น ระบบการผลิต ระบบเตือนภัย/ป้องกันความเสี่ยง เทคโนโลยีการผลิต และการเสริมศักยภาพเกษตรกร สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการศึกษาความคุ้มค่าการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรแบบเท่าทันสภาพภูมิอากาศ และ โครงการเตือนภัยเศรษฐกิจการเกษตร
  • Co-benefits พบว่า โครงการที่ปรากฏในแผนต่าง ๆ สามารถจัดกลุ่มได้ 4 ประเด็น ได้แก่ ระบบสนับสนุนการผลิต เช่น พัฒนาระบบสนับสนุนการผลิตพืชภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้นวัตกรรมภูมิสารสนเทศ) แผนปฏิบัติการ/มาตรการขับเคลื่อน เช่น โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถของเครือข่ายความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม) และ ระบบเตือนภัย/ป้องกันความเสี่ยง เช่น โครงการภูมิอากาศภาคสนาม + โครงการสร้างเครือข่ายอุตุนิยมวิทยาเพื่อชุมชนเกษตรกรอัจฉริยะ

กลุ่มทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้

ประเด็นย่อย : พื้นที่ป่าธรรมชาติ มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ปรากฎแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการแจกเมล็ดพันธุ์พืชและต้นกล้าที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ บูรณาการการตรวจสอบและตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของป่าและจุดความร้อน และให้ความสำคัญกับประเด็นไฟป่า อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มพื้นที่ป่าธรรมชาติ
  • Adaptation พบว่า มีแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของป่า โดยคำนึงถึงแนวคิดเรื่องแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ (Ecological corridors) และแนวทางที่อิงระบบนิเวศ (Ecosystem-based approaches) สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่าให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่า
  • Co-benefits พบว่า ให้ความสำคัญกับแนวทางเรื่องประโยชน์หลายประการจากการเพิ่มความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศประสิทธิภาพของทรัพยากร การเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการปลูกป่า และการอนุรักษ์ โดยคำนึงถึงแนวทางที่อิงระบบนิเวศ (Ecosystem-based approaches) ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้ด้วยการสนับสนุนการผลิตและดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นที่มีความยั่งยืนและเป็นไปอย่างเหมาะสมตามศักยภาพของพื้นที่ อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรง

ประเด็นย่อย : พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ปรากฏแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการปลูกต้นไม้ เครือข่ายธนาคารต้นไม้ และการปลูกสวนป่าเศรษฐกิจให้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อระบุแหล่งกำเนิดของไม้ เช่น ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA Fingerprint) ส่งเสริมการศึกษาวิจัยและพัฒนาระบบพันธบัตรป่าไม้ สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ปรากฏข้อมูล 2 โครงการ ได้แก่ โครงการการส่งเสริมตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจสำหรับการปลูกไม้เศรษฐกิจ และโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ โดยสร้างแรงจูงใจและกระบวนการมีส่วนร่วม
  • Adaptation ไม่ปรากฏแนวทางการดำเนินการและแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ
  • Co-benefits พบว่า ให้ความสำคัญกับแนวทางเรื่องประโยชน์หลายประการจากการเพิ่มความยืดหยุ่นของสภาพภูมิอากาศประสิทธิภาพของทรัพยากร, ส่งเสริมการปลูกป่าด้วยแรงจูงใจที่เหมาะสม เช่น คาร์บอนเครดิตในพื้นที่ที่ถูกบุกรุก ส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงที่ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ของเอกชน โดยให้สามารถนํามาใช้ประโยชน์ควบคู่กับส่งเสริมแนวทางการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน (Sustainable Forest Management: SFM) และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อระบุแหล่งกำเนิดของไม้ สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการการประเมินความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกไม้ในเขตพื้นที่ส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร และโครงการการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการปลูกไม้ในเขตพื้นที่ส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร

ประเด็นย่อย : พื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ปรากฏแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนินการด้านพื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบทเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว สนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนและองค์กรพัฒนามีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองผ่านทางกิจกรรม CSR โดยสร้างเครือข่ายให้เกิดการบูรณาการและต่อยอดการดำเนินการซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท
  • Adaptation พบว่า ไม่ปรากฏแนวทางการดำเนินการและแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท
  • Co-benefits ปรากฏแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน อปท. ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชุมชนเพื่อประโยชน์ในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์เพื่อการนันทนาการ และเป็นแหล่งดูดซับมลพิษในพื้นที่ รวมถึงการกําหนดแนวทางการจัดการพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชุมชนโดยมุ่งเน้นการปลูกไม้ที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้ดีสามารถนําไม้ไปใช้ประโยชน์หลังจากตัดฟันและไม่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพหรือต้องการการบํารุงรักษามาก อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏแนวทางการดำเนินการและแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่เกี่ยวข้องโดยตรง

กลุ่มการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรและการจัดการภัยพิบัติ

ประเด็นย่อย : ภัยจากน้ำท่วม ภัยจากน้ำแล้ง ความร้อน การกัดเซาะของแผ่นดิน และภัยอื่นๆ ที่เป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีข้อค้นพบที่สำคัญ ได้แก่

  • Mitigation ไม่ปรากฏแนวทางการดำเนินการและแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจกในกลุ่มการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรและการจัดการภัยพิบัติ
  • Adaptation พบว่า มีแนวทางการดำเนินการที่ให้ความสำคัญกับการทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในลุ่มน้ำโดยกระบวนการมีส่วนร่วมและกำหนดสัดส่วนการพัฒนา สำหรับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ดินในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติทางการเกษตร การป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ
  • Co-benefits พบโครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการผังเมือง โครงการบริหารจัดการที่ดินในพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และความสมดุลการจัดการทรัพยากรที่ดิน (LDN)

04 – ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การผนวกประเด็นเรื่อง Mitigation และ Adaptation เข้าด้วยกันเพื่อสร้างประโยชน์ร่วม (Co-benefits) หากพิจารณาเชิงนโยบาย พบว่ามีแผนและโครงการอยู่ส่วนหนึ่งแต่ยังไม่ครอบคลุม จึงมีข้อเสนอให้พิจารณาในเชิงลึกเพื่อดำเนินการต่อไป 3 ประเด็น ได้แก่

  1. การตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแผนและโครงการที่คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกัน เนื่องจากที่ผ่านมา นโยบาย/แผน/โครงการของแต่ละหน่วยงานยังมีลักษณะเน้นไปที่ Mitigation และ Adaptation ด้านใดด้านหนึ่ง
  2. แนวทางการพิจารณา/การดำเนินงานแบบ Co-benefits ต้องพิจารณาบริบทเชิงพื้นที่ประกอบการวางแผน โดยการดำเนินงานในรูปแบบดังกล่าวต้องอาศัยการบูรณาการกับหน่วยงานที่หลากหลายในพื้นที่ ดังนั้นการกำหนดนโยบาย/แผนต้องอาศัยการประสานงานระหว่างหน่วยงานและการบูรณาการทั้งระดับพื้นที่และข้ามหน่วยงาน ซึ่งต้องพิจารณาถึงระเบียบและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงงบประมาณ
  3. การบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่ในการกำหนดโยบาย/แผนเพื่อการดำเนินงานเรื่องการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยข้อมูลเชิงพื้นที่ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน ทั้งในลักษณะและความรุนแรงของผลกระทบ ดังนั้นการกำหนดแนวทางในการดำเนินแผน/โครงการ/กิจกรรมต้องอาศัยข้อมูลที่ละเอียดในเชิงพื้นที่เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงานที่ก่อให้เกิด Co-benefits ระหว่าง Mitigation และ Adaptation

05 – บทสรุป

โดยสรุป โครงการวิจัยข้างต้นชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับนโยบายสำหรับจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งด้าน Mitigation โดยมีการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนในหลากหลายภาคส่วน ในขณะที่นโยบายด้าน Adaptation พบว่ามีแนวทางการดำเนินงานในหลายภาคส่วน แต่ยังไม่มีเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายทั้งสองด้าน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ พบว่า นโยบายมีความครอบคลุมและหลากหลาย เช่น ประเด็นเรื่องเกษตรที่ให้ความสำคัญตั้งแต่ประเด็นเมล็ดพันธุ์ไปจนถึงระบบปัจจัยการผลิตทั้งน้ำ ปุ๋ย

อย่างไรก็ตาม พึงทราบด้วยว่าการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ Co-benefits เป็นการตีความจากข้อความที่ปรากฏในเอกสาร จึงมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงรายละเอียดของข้อมูล หากประเทศไทยต้องการให้ความสำคัญกับแนวทางแบบ Co-benefits อย่างจริงจัง ควรมีการออกแบบการทำงานที่ตอบสนองต่อ Co-benefits โดยตรง ดังนั้นจำเป็นต้องมีการกำหนดแผน/กลยุทธ์ในการดำเนินการแบบ Co-benefits สำหรับการการดำเนินนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศต่อไป

● สามารถติดตามบทความที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ได้ที่นี่

บทความฉบับนี้ เป็นชุดข้อมูลภายใต้โครงการ 'การสร้างความร่วมมือเครือข่ายนักวิจัยและข้อมูล เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 13' สนับสนุนโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งจะมีการเผยแพร่ผ่านทาง SDG Move อย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายน 2567

อติรุจ ดือเระ – ผู้เรียบเรียง
แพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ

Last Updated on กันยายน 12, 2024

Author

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น