กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดตัวรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2567 และทิศทางสำคัญในปี 2568 พบว่าเด็กนอกระบบการศึกษามีแนวโน้มลดลง แต่เด็กยากจนเรียนต่อมหาวิทยาลัยน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 2 เท่า พร้อมเสนอสร้างระบบหลักประกันโอกาสเข้าถึงการศึกษา ใช้บัตรประชาชนใบเดียวเรียนได้ไร้รอยต่อ ตั้งแต่ช่วงปฐมวัยจนถึงวัยที่มีงานทำ ขณะที่ยูเนสโก หรือองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ระบุว่าหากมีการลงทุนจะลดเด็กหลุดนอกระบบและเด็กทักษะต่ำกว่าพื้นฐานเพียง 10% และช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ หรือ GDP แต่ละปีได้ถึง 1 – 2%

รายงานได้วิเคราะห์สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและทิศทางสำคัญ จำแนก 6 ด้าน สรุปได้สังเขป ดังนี้
- ความเหลื่อมล้ำของเด็กและเยาวชนในระบบการศึกษา ในปีการศึกษา 2567 มีนักเรียนกว่า 3 ล้านคนที่อยู่ในครัวเรือนภายใต้เส้นความยากจน (poverty line) ซึ่งเมื่อประมวลผลจากการคัดกรองโดยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม พบว่าประเทศไทยมีนักเรียนยากจนพิเศษระดับอนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาตอนต้นในครัวเรือนยากจนที่สุด 15% แรกของประเทศ จำนวน 1,348,735 คน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุด คือจังหวัดแม่ฮ่องสอน
- ความเหลื่อมล้ำของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ในปี 2567 พบว่ามีเด็กและเยาวชนช่วงอายุ 3 – 18 ปี ที่เกิดระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2550 – 31 ธันวาคม 2564 โดยเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา จำนวนทั้งหมด 982,304 คน ซึ่งลดลงจากปีการศึกษาก่อนหน้าที่มีอยู่จำนวน 1.02 ล้านคน โดยมีเด็กและเยาวชนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษามากกว่า 304,082 คน อย่างไรก็ดี ยังมีเด็กเยาวชนที่ยังคงไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 590,557 คน และมีเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษากลุ่มใหม่ จำนวน 391,747 คน
- ความเหลื่อมล้ำในผลลัพธ์การเรียนรู้เริ่มต้นตั้งแต่ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา จากผลการประเมินนักเรียนในโครงการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ในปี 2565 พบว่านักเรียนไทยอายุ 15 ปี กว่า 2 ใน 3 มีสมรรถนะด้านการอ่านและคณิตศาสตร์ไม่ถึงระดับพื้นฐาน รวมถึงสถานการณ์และนักเรียนกว่าครึ่งมีสมรรถนะด้านวิทยาศาสตร์ไม่ถึงระดับพื้นฐาน ซึ่งผลการวิเคราะห์บ่งชี้ว่านักเรียนในครัวเรือนยากจนมีแนวโน้มจะมีผลลัพธ์การเรียนรู้ต่ำกว่านักเรียนในครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวย
- การลงทุนทางการศึกษาให้ตรงจุดและเพียงพอต่อการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา พบว่าประเทศไทยมีรายจ่ายด้านการศึกษารวมต่อ GDP ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD (4.9% ต่อ GDP) และมีรายจ่ายด้านการศึกษารวมต่อ GDP มากกว่าหลายประเทศ อย่างไรก็ดี การจัดสรรงบประมาณเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในระดับท้องถิ่นยังคงมีอยู่อย่างจำกัด และไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
- การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะประเทศไทยกับการแก้ปัญหาเชิงระบบ เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เช่น หนึ่ง สร้างระบบหลักประกันโอกาสการศึกษา ให้เด็กเยาวชนตลอด 20 ปี จากปฐมวัยถึงมีงานทำ ผ่านการบูรณาการข้อมูลรายบุคคลระหว่าง 11 หน่วยงาน ครอบคลุมเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่มาจากครัวเรือนซึ่งมีรายได้น้อยที่สุดของประเทศจำนวน 3 ล้านคน และ สอง ยกระดับบัตรประจำตัวประชาชนของเด็กเยาวชนทุกคนให้เป็น Learning Passport สำหรับการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย โดยรัฐสามารถจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลตรงไปยังเลข 13 หลักของเด็กเยาวชนโดยตรง
- ทิศทางสำคัญในปี 2568 ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มเป้าหมายในระบบการศึกษากว่า 1.9 ล้านคน ขณะที่ในกลุ่มที่อยู่นอกระบบการศึกษาช่วงวัย 3 – 18 ปี มีมากกว่า 982,304 คน
สุดท้ายนี้ คุณจูสตีน ซาส หัวหน้าฝ่ายการศึกษาเพื่อความครอบคลุมและความเท่าเทียมทางเพศ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก ณ กรุงปารีส ระบุว่า “หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ภายในปี ค.ศ. 2030 ต้นทุนทางสังคมของเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดและเด็กที่มีทักษะต่ำกว่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ ตัวเลขเหล่านี้คิดเป็นมูลค่ามหาศาล ตัวเลข 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รายปีของฝรั่งเศสและญี่ปุ่นรวมกัน”
● อ่านข่าวและบทความที่เกี่ยวข้อง
– รายงานพิเศษ กสศ. ชี้เด็กไทยกว่า 1.02 ล้านคน หลุดออกนอกระบบการศึกษา พร้อมเสนอมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
– กสศ. พบเด็กร้อยละ 40 ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง เผชิญวิกฤตการศึกษา – คิดมาตรการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหา
– UN และพันธมิตรเปิดตัวแคมเปญ #LetMeLearn ก่อนการประชุมสุดยอดด้านการศึกษา – หลังพบว่าเด็ก 260 ล้านคนทั่วโลกไม่ได้เรียนหนังสือ
– ยูเนสโกประกาศ ‘การศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน’ ต้องเป็นองค์ประกอบหลักของระบบการศึกษาทุกระดับภายในปี 2568
– ผู้นำโลกทุ่มเงินบริจาคกว่า 826 ล้านดอลลาร์ฯ แก่ ‘กองทุนโลกเพื่อการศึกษาในภาวะฉุกเฉิน’ – เพื่อช่วยเหลือเด็กทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่ยืดเยื้อ
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ
– (4.1) สร้างหลักประกันว่าเด็กชายและเด็กหญิงทุกคนสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่มีคุณภาพ เท่าเทียม โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นำไปสู่ผลลัพธ์ทางการเรียนที่มีประสิทธิผล ภายในปี 2573
– (4.2) สร้างหลักประกันว่าเด็กชายและเด็กหญิงทุกคนเข้าถึงการพัฒนา การดูแล และการจัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัย ที่มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กเหล่านั้นมีความพร้อมสำหรับการศึกษาระดับประถมศึกษา ภายในปี 2573
– (4.3) สร้างหลักประกันให้ชายและหญิงทุกคนเข้าถึงการศึกษา อาชีวศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพ ในราคาที่สามารถจ่ายได้ ภายในปี พ.ศ. 2573
– (4.4) เพิ่มจำนวนเยาวชนและผู้ใหญ่ที่มีทักษะที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทักษะทางด้านเทคนิคและอาชีพสำหรับการจ้างงาน การมีงานที่มีคุณค่า และการเป็นผู้ประกอบการ ภายในปี 2573
– (4.5) ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเพศด้านการศึกษา และสร้างหลักประกันว่ากลุ่มที่เปราะบางซึ่งรวมถึงผู้พิการ ชนพื้นเมือง และเด็ก เข้าถึงการศึกษาและการฝึกอาชีพทุกระดับอย่างเท่าเทียม ภายในปี 2573
#SDG10 ลดความเหลื่อมล้ำ
– (10.2) ให้อำนาจและส่งเสริมความครอบคลุมด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองสำหรับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงอายุ เพศ ความบกพร่องทางร่างกาย เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ แหล่งกำเนิด ศาสนา หรือสถานะทางเศรษฐกิจหรือสถานะอื่น ๆ ภายในปี 2573
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.14) ยกระดับความสอดคล้องเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน