SDG Updates | Climate Change ภัยคุกคาม (ฆ่า) ชีวิตเด็กไทย: ชวนสำรวจผลกระทบและทางรอด

วริศรา จารุวรรโณ
Founder of SDG Resound
 

ปี 2567 เป็นอีกปีที่ประเทศไทย มีความตื่นรู้เเละตื่นตัว ต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบอย่างวงกว้างซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือช่วงอายุใดอายุหนึ่งเท่านั้น หนำซ้ำโดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบางยิ่งได้รับผลกระทบทวีคูณ ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และสตรีตั้งครรภ์ ฯลฯ แท้จริงแล้วผลพวงปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมปัญหาสุขภาพมาอย่างยาวนาน และส่งผลได้ตั้งแต่ระดับยีนส์ในสตรีที่ตั้งครรภ์ ซึ่งหลายคนอาจคาดเดาไม่ได้ว่าผลกระทบเชิงลบระหว่าง Climate Change ต่อสุขภาวะและคุณภาพชีวิตช่วงวัยเด็กนั้นมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด วันนี้ ค่าตัวเลขการเสียชีวิตในเด็กจะทำให้ประชาชนคนไทยและทั่วโลกตื่นตัว เพื่อคิดหาทางรอดที่ยั่งยืนต่อประเด็นภัยคุกคามเหล่านี้ 

ปัญหาสุขภาพของเด็ก จาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป –

“ทุก ๆ 30 นาที จะมี 1 ชีวิตที่ต้องเสียไปด้วยโรคติดเชื้อมาลาเรียจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น 

และจากอัตราการเสียชีวิตพบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี

ชี้อัตราการเสียชีวิตในเด็กทั่วโลก ทุกปีจะมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี 

ต้องเสียชีวิตจากการสัมผัสมลพิษทางอากาศกว่า 570,000 คน

“เด็กเกือบ 1 ใน 7 หรือกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก กำลังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มลพิษทางอากาศในบรรยากาศเกินค่าแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”


01 – ภาพรวมสถานการณ์ปัญหา Climate Change กับ ผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กไทย 

จากการจัดลำดับข้อมูลดัชนีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศและสภาวะสิ่งแวดล้อมของเด็กในช่วงอายุ 0-24 ปี หรือ The Children’s Climate Risk Index ประเทศไทย ได้คะแนนอยู่ที่ 6.2 อยู่ในลำดับที่ 50 จาก 163 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแบ่งคะแนนเป็นปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Climate and Environmental Factors) อยู่ที่ 8.4 (สีแดง) ความเปราะบางของเด็ก (Child Vulnerability) อยู่ที่ 2.3 (สีฟ้าอ่อน) โดยเด็กเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ โดยมีหลายหลากปัจจัย เช่น ความเปราะบางทางกายและจิต และความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาวะและการเสียชีวิต โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดเหตุภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังอาจได้รับผลกระทบด้านอุปสรรคทางเศรษฐกิจและการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ [1]

“ชีวิตของเด็กหลายล้านคนทั่วโลกกำลังพลิกผันจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ภูมิศาสตร์ไม่ได้ป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มันส่งผลกระทบต่อเด็กในทุกที่ แม้แต่ในประเทศ ที่มีรายได้สูง และโลกก็ยังปกป้องพวกเขาได้ไม่เพียงพอ” 

ภาพที่ 1 ตารางลำดับ The Children’s Climate Risk Index 2024
ที่มา : UNICEF


02 – ด้านการจัดอันดับ Climate Change Performance Index (CCPI) 2024 


    ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 25 จาก 63 ประเทศ เป็นอันดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 


ในระดับโลกมีการจัดอันดับ Climate Change Performance Index (CCPI) 2024 หรือดัชนีประสิทธิภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจัดทำโดย Germanwatch, NewClimate Institute, และ Climate Action Network (CAN) Europe เพื่อติดตามความคืบหน้าในการลดปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศของ 63 ประเทศ และโดยรวมของสหภาพยุโรป (European Union: EU) รวมเป็น 64 อันดับ ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกันรับผิดชอบต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปีที่ผ่านมารัฐบาลทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และพลังงานทดแทนกำลังเติบโตในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทั้งหลายยังไม่เพียงพอเเละจำเป็นต้องเร่งรัดการปฏิบัติอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายใหญ่ ได้แก่ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกต้องลดลงเกือบครึ่ง ภายในปี 2573 และลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงถ่านหิน 

คณะผู้จัดทำ CCPI ได้กำกับภายในรายงานว่า ไม่มีประเทศใดที่มีผลการดำเนินงานดีพอในทุกหมวดหมู่ดัชนีเพื่อให้ได้คะแนนโดยรวมที่สูงมาก ดังนั้นตำแหน่งโดยรวมสามตำแหน่งแรกจึงว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม เดนมาร์ก เป็นประเทศที่อยู่บนสุดของดัชนี (อันดับ 4) ตามด้วยเอสโตเนีย (อันดับ 5) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 6)  สหภาพยุโรปโดยรวม 27 ประเทศอยู่อันดับที่ 16 ประเทศจีน กลายเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด (อันดับ 51) ในขณะที่สหรัฐอเมริกา ลดลง 5 อันดับ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (อันดับ 57) และประเทศที่เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 (COP28) อย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (อันดับ 65) อิหร่าน (อันดับ 66) และซาอุดีระเบีย (อันดับ 67) อยู่ในอันดับรั้งท้าย [2]

ภาพที่ 2 ตารางจัดอันดับ Climate Change Performance Index 2024
ที่มา : New Climate Institute

เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวอาจยังไม่เพียงพอที่จะชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันและการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่แข็งแรง ความร้อนจัด ภัยพิบัติ มลพิษจากอากาศที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของสัตว์ที่เป็นพาหะโรคร้ายต่าง ๆ อาจนำไปสู่การเจ็บป่วย หรือขาดสารอาหาร ส่งผลให้เด็กเหล่านี้ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพระยะยาว


03 – ผลกระทบจากปัญหาสุขภาพในเด็ก อันมีสาเหตุจาก Climate Change ในไทยมีอะไรบ้าง?

| ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล โดยเน้นในประเด็นร้อนจัด-หนาวจัด และความชื้น 

ผลกระทบของการเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นบนโลก ส่งผลให้อุณหภูมิที่พื้นผิวโลกผันผวนเป็นผลมาจากกระแสความร้อน ความเย็น เเละความชื้นที่ก่อให้เกิดการไหลเวียนอากาศและน้ำเมื่อมีการเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก พื้นผิวโลกจะถูกทำให้รับความร้อนมากขึ้น โดยทำให้เกิดการสะสมความร้อนในบรรยากาศที่เชื่อมต่อกับพื้นผิวโลก ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่เราเห็นอุณหภูมิที่สูงขึ้นหรือลดต่ำลง และสภาพอากาศที่ร้อนและหนาวสุดขั้วซึ่งล้วนมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของความร้อน จะส่งผลต่อการเสียชีวิตและการเจ็บป่วย เช่น โรคติดเชื้อในระบบร่างกาย ซึ่งจะถูกอธิบายเพิ่มเติมในข้อมูลตาราง อาการอัมพาต อาการสูญเสียของเหงื่อ และอาการอื่น ๆ 

อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อการทำงานและการเดินทางของมนุษย์ด้วย เช่น การทำงานในสถานที่ที่ไม่มีระบบปรับอากาศ หรือการเดินทางในช่วงอากาศร้อน ที่จะทำให้มนุษย์เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ ความร้อนที่เพิ่มขึ้นยังทำให้เกิดการระบาดของไฟป่าได้ง่ายขึ้นและมีความน่ากลัวมากขึ้น 

การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและสภาพอากาศที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อเด็กในหลายด้าน ทั้งนี้ก็ [3]  เพราะเด็กเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดเมื่อเจอความร้อนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันและการควบคุมอุณหภูมิในร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่ออาการอ่อนเพลียจากความร้อนและโรคลมแดด ไฟป่าและมลพิษทางอากาศจากไฟป่าอาจทำให้เด็กเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น ทั้งยังส่งผลต่อการเข้าถึงการศึกษาของเด็ก เนื่องจากความร้อนและสภาพอากาศที่รุนแรงอาจทำให้โรงเรียนต้องปิดหรือการเดินทางไม่สะดวก เด็กยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหาร เนื่องจากผลผลิตการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิยังส่งผลต่อการละเมิดสิทธิของเด็กในหลายด้าน เช่น สิทธิในการเข้าถึงการศึกษา เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดน้ำท่วมอย่างหนักหรือไฟป่า อาจทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้สม่ำเสมอ อีกทั้งความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้เด็กเสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรกและภาวะขาดน้ำ รวมถึงโรคทางเดินหายใจจากมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศยังทำให้เด็กไม่มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย เด็กจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กในระยะยาว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศสามารถทำให้เด็กต้องย้ายถิ่นฐานหรือพลัดถิ่น เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิ เช่น การค้ามนุษย์

ภาพที่ 3 กราฟแสดงระดับอุณหภูมิโลก ตั้งแต่ปี 1940-2023 
ที่มา : Copernicus  

จากภาพแสดงข้อมูลอุณหภูมิโลก จะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมา ปี 2566 เป็นปีที่อุณหภูมิโลกสูงสุดตั้งแต่ปี 1940 โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 14.98°C เพิ่มขึ้นจากปี 2559 และอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 0.17°C เมื่อเปรียบเทียบกับค่าสูงสุดก่อนหน้า ในปี 2566 อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 0.60 – 1.48°C ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ ปี 2567 มีความน่าจะเป็นที่ระดับอุณหภูมิจะเกิน 1.5°C อีกด้วย [4]

จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนและดำเนินการ เพื่อลดผลกระทบของการเพิ่มความร้อนนี้ที่เกิดขึ้นบนโลกให้มีผลกระทบที่น้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะต่อชุมชนที่มีเด็กอาศัยอยู่ การป้องกันความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ควรจะให้ความสำคัญในแง่ของการสร้างความตระหนักรู้ โดยจะต้องให้ความสำคัญกับสิทธิเด็ก เพื่อสร้างกระบวนการบริหารและตัดสินใจ และมีการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ทั้งแก่เด็กและผู้ใหญ่เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง การคุ้มครองสิทธิของเด็กโดยเฉพาะสิทธิในการศึกษา สุขภาพ และที่อยู่อาศัย การรวมเด็กเข้าในการตัดสินใจนโยบายที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการอย่างเหมาะสม

| ประเด็นมลพิษทางอากาศ [5]

ในทุกวัน ประเทศไทยจะมีเด็กเข้ารับบริการรักษาโรคมีที่ผลกระทบมาจากมลพิษทางอากาศ

ที่โรงพยาบาล สูงถึง 2,670 ราย/วัน 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาระดับโลกที่ส่งผลกระทบหลายด้าน หนึ่งในผลกระทบสำคัญคือการเพิ่มขึ้นของมลพิษทางอากาศอย่าง PM2.5 ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ยังมีภูมิคุ้มกันและระบบทางเดินหายใจที่ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ในประเทศไทยที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่งแจ้ง ทำให้ PM2.5 กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของเด็กๆ ทั่วประเทศ

ประเทศไทยมีความเข้มข้นของ PM2.5 มากกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) โดยที่ประชากรไทย กว่า 38 ล้านคน อยู่ในพื้นที่ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กเกินกว่า 37.5 มคก./ลบ.ม. ช่วงที่มีปัญหา PM2.5 ถี่มักอยู่ในช่วงปลายปีและต้นปี ซึ่งช่วงที่ผ่านมานี้ พบค่า PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งค่าเฉลี่ยระหว่าง 24 ชั่วโมง มีค่าฝุ่นอยู่ที่ 37.5 มคก./ลบ.ม. ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พื้นที่หมอกควันภาคเหนือ และพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด PM2.5 มักมาจากยานพาหนะเครื่องยนต์ ฝุ่นพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า การเผาในที่โล่งแจ้ง และฝุ่นจากที่อื่น ๆ 

และในปี 2566 ในประเทศไทย มีจำนวนเด็กอายุ 0 – 9 ปี อยู่ที่ 6.7 ล้านคน ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่ากว่า 974,770 ราย เจ็บป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นขนาดเล็ก อาทิ โรคทางเดินหายใจ แบ่งเป็น ภาพรวม 675,980 ราย และ โรคหอบหืด18,559 รายโรคตาอักเสบ 115,735 ราย โรคผิวหนังอักเสบ 84,831 ราย และโรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด 1,440 ราย ไม่เพียงเท่านั้น ในทุกวันจะมีเด็กเข้ารับบริการรักษาอาการผิดปกติอันมีสาเหตุมาจากฝุ่นที่โรงพยาบาล สูงถึง 2,670 ราย/วัน

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยข้อมูลสถิติการเสียชีวิตที่เกิดจากการรับสัมผัสมลพิษอากาศทั่วประเทศ โดยสาเหตุการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเด็กเกิดจากโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนบน  (Acute lower respiratory infections:ALRI) ที่มักเกิดขึ้นในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีสัดส่วนถึง 27% และในทุกช่วงอายุมีอัตราการเสียชีวิตที่สัมพันธ์กับมลพิษทางอากาศจำแนกตามโรคไม่ติดต่อ ประกอบด้วย โรคหัวใจขาดเลือด 35% โรคหลอดเลือดสมอง 17% โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง 25% และโรคมะเร็งปอด 4%  

ภาพที่ 4 การเสียชีวิตที่เกิดจากการรับสัมผัสมลพิษอากาศทั่วโลก
ที่มา : กรมอนามัย

ผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพเด็กที่มาจากการสัมผัส แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ส่งผลให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจ หายใจลำบาก แสบจมูก ไอมีเสมหะ แน่นหน้าอก ถุงลมแฟบ สมรรถภาพการทำงานของปอดลดลง ภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ ต่อมาทำลายภูมิคุ้มกัน เกิดการติดเชื้อในปอดและทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ หูอักเสบ เด็กมีพัฒนาการที่ล่าช้า และมีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ในด้านระยะยาว เกิดโรคมะเร็งปอด การอักเสบของเส้นเลือด อาจเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง

อย่างไรก็ตามยังคงมีความท้าทายหลายมิติ เช่น แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของฝุ่น PM2.5 ยังมีอย่างต่อเนื่อง หากวิเคราะห์ในมุมเด็กเล็ก การช่วยเหลือตนเพื่อหลบเลี่ยงมลพิษทางอากาศยังเป็นไปได้ยาก อัตราการหายใจและหัวใจในเด็กเล็กมักจะเร็วและแรงกว่าผู้ใหญ่ทำให้มีการสูดดมฝุ่นควันพิษตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดการกระจายมลพิษไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วและในเด็กจะกระจายได้มากกว่าผู้ใหญ่ รวมทั้งการปฏิบัติตามข้อบังคับการสวมใส่หน้ากากอนามัยในเด็กยังเป็นไปได้ยาก 


04 – โรคที่เด็กไทยต้องเผชิญอันมีสาเหตุมาจาก Climate Change และเกี่ยวข้องกับสัตว์ในฐานะพาหะที่ถูกกระตุ้นอย่างไรบ้าง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพของเด็กในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ที่เป็นพาหะ ซึ่งจำนวนสัตว์พาหะนี้เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น ยุง เห็บ สัตว์กัดแทะ และสัตว์ที่เป็นแหล่งอาหาร ซึ่งสามารถนำโรคต่าง ๆ เช่น มาลาเรีย  โรคไข้เลือดออก โรคลายม์ และโรคไข้สมองอักเสบมาสู่เด็ก ๆ ได้ และเมื่อสภาพอากาศร้อนจัดหรือชื้นมากขึ้นจะทำให้สัตว์พาหะเหล่านี้แพร่พันธุ์และแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น ทำให้เด็กมีความเสี่ยงสูงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับสัตว์พาหะเหล่านี้[6]

สาเหตุ/ปัจจัยกระตุ้นโรคที่เกี่ยวข้องผลกระทบ
การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ร้อนจัด หนาวจัด ความชื้นมากโรคที่มีสัตว์เป็นพาหะ อาทิ ยุง เห็บ และสัตว์กัดแทะเป็นสื่อนำโรค เช่น โรคมาลาเรีย (Malaria paroxysm) โรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic Fever) โรคไข้สมองอักเสบที่มาจากเห็บ หรือโรคลัยม์ (lyme) อุณหภูมิที่สูงเป็นตัวเร่งการเติบโตของพาหะเชื้อโรคในแง่ความต้องการด้านอาหาร และเลือดที่หล่อเลี้ยงมากขึ้น นำไปสู่การวางไข่เพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มความสามารถในการแพร่โรคต่อมนุษย์ ซึ่งพาหะแต่ละชนิดจะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในแง่ของการขยายแพร่พันธุ์ [7]
ภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition)อุณหภูมิที่สูงสร้างความเสียหายต่อการประมง การเพาะปลูก และปศุสัตว์ เพราะทำให้แหล่งน้ำแห้งและพื้นที่ทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ลดลง แหล่งอาหารมีปริมาณลดลงรวมไปถึงเข้าถึงได้ยากมากขึ้น และมหาสมุทรที่เป็นกรดมากขึ้นสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลที่ใช้หล่อเลี้ยงผู้คนหลายพันล้านคน [8]
โรคที่มีอาหารและน้ำเป็นสื่อ เช่น  โรคอุจจาระร่วง (Faecal Oral infections)  โรคจากอาหารเป็นพิษ (Foodborne disease)การอยู่รอดของเชื้อโรคมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่มาก ทั้งสองส่วนนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถการเคลื่อนย้ายเชื้อโรคไปสู่แหล่งน้ำได้อย่างดี [9]
โรคลมร้อน หรือโรคลมแดดทั่วไป (classical or nonexertional heat stroke; NEHS)เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูง กลไกการระบายและควบคุมความร้อนทำงานล้มเหลว ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับความร้อนได้จึงมีอุณหภูมิแกนของร่างกายสูงขึ้นเกิน 40°C และในที่สุดเกิดเป็นโรคลมร้อนและลมแดดได้ [10]
ภาวะซึมเศร้า (Depression)อุณหภูมิที่หนาวจัด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย (circadian phase shift) สารสื่อประสาท ฮอร์โมนร่างกาย การนอนหลับ และอาจรวมไปถึงพันธุกรรม [11]
มลพิษทางอากาศ อาทิ ฝุ่น PM2.5กลุ่มโรคทางเดินหายใจ เช่น  โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) โรคภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ (Allergic rhinitis)  โรคหืด (Asthma) โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนบน (ALRI) ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โรคคออักเสบ/ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน (Acute pharyngitis) โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง (Chronic rhinitis) โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) (x)เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยสารแพ้ต่าง ๆ เช่น ไรฝุ่น ละอองหญ้า ขนสัตว์ รวมทั้งสาเหตุหลักอย่าง PM2.5 [12]  ซึ่งฝุ่นขนาดเล็กนี้จะตกค้างในโพรงจมูก เข้าสู่สมองโดยตรงและผ่านเส้นประสาทรับกลิ่น เมื่อหายใจสามารถลงลึกเข้าสู่ปอดและผ่านหลอดเลือดฝอยเข้าสู่เส้นประสาทได้ หากตกค้างในช่องคอ มีการกลืนลงสู่ระบบทางเดินอาหารและดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ เมื่อมีการกระจายของกระแสเลือดทั่วร่างกายถัดมาจะเข้าสู่หัวใจและสมองในที่สุด [13]
กลุ่มโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองอุดตันขาดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด (Acute Ischemic Heart Disease) โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) [14]ชนิดของมลพิษในอากาศทําให้เกิดผลกระทบและอัตราการตายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular mortality and morbidity) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการสัมผัสมลพิษ จึงทำให้เกิดโรคหรือภาวะอาการที่เฉพาะเจาะจงในระบบนี้ [15]  

ทั้งนี้โรคที่มีความเชื่อมโยงกับมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม โดยสาเหตุและปัจจัยกระตุ้น มักมาจากอุณภูมิที่สูงขึ้นและความชื้น โดยแบ่งเป็น โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออก และโรคลายม์  การป้องกันและการจัดการโรคเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนที่มีเด็ก เนื่องจากเด็กมักเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อโรคและการเผชิญกับความเสี่ยงสูงในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้อาจอธิบายรายโรคว่า คืออะไร มีผลกระทบในมิติใดบ้าง รวมทั้งประเทศไทยจะเอาชนะปัญหานี้ได้อย่างไร

โรคมาลาเรีย (Malaria paroxysm) หรือ ไข้จับสั่น ซึ่งมีพาหะนำโรคเป็นยุงก้นปล่องตัวเมีย (Anopheles spp.) โดยการติดเชื้อมาลาเรียเริ่มเมื่อยุงที่ติดเชื้อ Plasmodium falciparum หรือ Plasmodium vivax กัดมนุษย์และปล่อยเชื้อมาลาเรียระยะ sporozoite เข้าสู่กระแสเลือด หลังจากนั้นจะมีอาการเริ่มแรกคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ ซึ่งแตกต่างกับไข้ทั่วไป โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะหนาวสั่น (The Cold Stage) หนาวสั่นจนอาจเกิดฟันกระทบ ผิวหนังเย็น ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน นานถึง 560 นาที ถัดมา คือ ระยะมีไข้ (The Hot Stage) เริ่มรู้สึกร้อน หน้าตาแดง ผิวหนังแห้ง ชีพจรเต้นเร็วและแรง หายใจเร็ว ปวดศีรษะรุนแรง คอแห้ง บางครั้งอาจอาเจียน และมีไข้สูงถึง 40°C นานถึง 2-6 ชั่วโมง และระยะเหงื่อออก (The Sweating Stage) ไข้เริ่มลดลง มีเหงื่อออกมาก หลังจากนั้นจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก นานถึง 2-4 ชั่วโมง

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) รายงานว่า ทุกปีประชากรกว่า 400 ล้านคนพบการติดเชื้อ และมากกว่า 200 ล้านคนที่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ ซึ่งหมายถึงในทุก ๆ 30 วินาที จะมีผู้เสียชีวิต 1 ราย เเละจากอัตราการเสียชีวิตพบว่าส่วนใหญ่มักเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยเฉพาะในครอบครัวที่ยากจน หรือหากเด็กทารกที่ได้รับเชื้อไม่เสียชีวิต ก็จะพบพัฒนาการสมองที่ผิดปกติ และในสตรีตั้งครรภ์ที่พบการติดเชื้อ บุตรที่คลอดออกมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติและเสี่ยงพิการสูง [16]

ภาพที่ 5 วัฏจักรการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียจากสัตว์สู่คน
ที่มา : MDPI

วิดีโอความเชื่อมโยงของโรคมาลาเรียกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วิดีโอที่ 1  Malaria spike in Pakistan and Mozambique due to climate change, report says – BBC News
ที่มา : BBC News

โรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhafic Fever) หรือไข้เด็งกี่ (Dengue Fever) ซึ่งมีพาหะนำโรคเป็นยุงเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสที่สำคัญที่สุด ได้แก่ ยุงลายบ้าน (Aedes Aegypti) และ ยุงลายสวน (Aedes Albopictus) ซึ่งเป็น RNA Virus ในตระกูล Flavivirus ในขณะที่อุบัติการณ์โรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น 30 เท่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลตั้งแต่ปี 2554-2565 มีรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก อยู่ที่ 10,617-154,773 รายต่อปี และมีอัตราป่วยตาย ร้อยละ 0.06-0.13 และพบผู้ป่วยสูงสุดในช่วงฤดูฝน มักพบในเด็กวัยเรียนเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่อายุ 0-24 ปี 

การติดเชื้อ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะไข้ (febrile phase) มีไข้สูงมากกว่า 38.5°C แบบเฉียบพลัน นาน 2-7 วัน ในเด็กอาจมีอาการชักได้ รวมทั้งหน้าแดง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ กระดูก ศีรษะและกระบอกตา อาเจียน เบื่ออาหาร เป็นต้น ถัดมาระยะวิกฤต/ช็อก (critical phase) ไข้เริ่มลดลง 37.5-38°C พบปริมาณเกล็ดเลือดลดต่ำน้อยกว่า 100,000 เซลล์/ลบ.มม. นานถึง 24-48 ชั่วโมง และเริ่มมีความรุนแรงอื่น ๆ เช่น มีการรั่วของพลาสมาออกนอกหลอดเลือด [17]

ภาพที่ 6 รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออก
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

ความสามารถในการเป็นพาหะนำโรคนั้นจะมีเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สูงขึ้นถึง 29°C ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของแมลงในหลายด้าน เช่น การกระจายทางภูมิศาสตร์ อัตราเร่งการเจริญเติบโต การเพิ่มจำนวนรุ่น หรือแม้แต่ฤดูการขยายพันธุ์ที่ยืดยาวขึ้น

ภาพที่ 7 ความเชื่อมโยงของโรคไข้เลือดออกกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่มา : ปรับจาก Ebi, & Nealon;Wu et al, 2016

จากภาพข้างต้นเป็นได้ว่า Climate Change ที่เป็นตัวกระตุ้นนั้นไม่ใช่อุณหภูมิที่สูงขึ้น ยังมีปัจจัยกระตุ้นอย่างความชื้น หรือฤดูฝน ซึ่งสามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อสัตว์พาหะในหลากหลายด้าน ได้แก่ ด้านสรีรวิทยา ซึ่งอุณหภูมิมีผลโดยตรงต่ออัตราการเจริญเติบโต แมลงจึงมีการพัฒนาและเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิที่ไม่เกิน 40-50°C และยังมีในด้านการแพร่กระจายเชื้อ วัดจากการพบยุงชนิดเดียวกันในระดับน้ำที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีต ด้านชีพลักษณ์ กระตุ้นให้เกิดการกระจาย ความหลากหลาย และชุกชุมของสิ่งมีชีวิตตามฤดูกาล และความร้อนยังมีอิทธิพลต่อการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม ในแง่มีการย้ายถิ่นฐานใหม่ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และมีวิวัฒนาการที่คงทนมากขึ้น [18]

วิดีโอความเชื่อมโยงของโรคไข้เลือดออกกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วิดีโอที่ 2  Climate change and dengue, what is the link?
ที่มา : TODAYonline

โรคลายม์ (Lyme Disease) โรคติดเชื้อที่มีปัจจัยกระตุ้นมาจากปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแง่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่สูงขึ้นและความชื้นที่กระตุ้นให้เกิดแมลงพาหะ (vector borne disease) ผ่านสัตว์ขนาดเล็กอย่างเห็บกวาง (Ixodid tick) การระบาดของโรคนี้ครั้งแรกเกิดที่ที่เมืองลายม์ รัฐคอนเนทิคัต (Connecticut) ประเทศ สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1975) ผู้ป่วยโรคลายม์สามารถพบได้ทุกช่วงวัย ทว่ากลุ่มที่พบว่ามีอัตราการเจ็บป่วยมากที่สุด คือ เด็ก อายุ 5-14 ปี และผู้ใหญ่ ตั้งแต่ 50-75 ปี เมื่อได้รับเชื้อจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ระบบไหลเวียนโลหิต และข้อต่อ ซึ่งคนที่ติดเชื้อมักมีอาการผื่นแดงที่มีลักษณะเป็นแผลที่ขยายขนาด (erythema migrans rash) ในบริเวณที่โดนเห็บกัด ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายใน 3-30 วันหลังจากโดนเห็บกัด ร่วมกับอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อ อาจมีการเป็นสมองอักเสบร่วมด้วย ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจมีปัญหาด้านการรับรู้และการจดจำ และมีอาการอื่น ๆ เช่น อัมพาตที่ใบหน้า และอาจพบการอักเสบในข้อต่าง ๆ ของร่างกายร่วมด้วย [19]

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบทำให้มีการเพิ่มจำนวนจากการขยายพันธุ์เห็บที่เป็นพาหะ กลุ่มที่มักได้รับผลกระทบมาก คือ กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตนอกสถานที่ และอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเป็นระยะเวลานาน กลุ่มที่ชอบกิจกรรมแคมป์ปิ้งและปีนเขาในพื้นที่หญ้าและป่าที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งในกลุ่มเปราะบางอย่างเด็ก จะมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่ยังไม่แข็งแรง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทันทีมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคที่รุนแรงได้ [20]

ภาพที่ 8 วัฏจักรการแพร่ระบาดของโรคลัยม์จากสัตว์สู่คน
ที่มา : CDC

วิดีโอความเชื่อมโยงของโรคลัยม์กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

         วิดีโอที่ 3 ความเชื่อมโยง A Ticking Clock: Lyme disease, climate change, and public health
ที่มา : Climate Atlas of Canada


05 – ปัญหานี้กระทบต่อการบรรลุ SDGs ด้านใดบ้าง 

หากพิจารณาเป้าหมายย่อยและตัวชี้วัดในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะ SDG3 ประเด็นสุขภาพ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม มี SDG 3.3 ยุติการแพร่กระจายของเอดส์ วัณโรค มาลาเรียและโรคเขตร้อน ที่ถูกละเลยและต่อสู้กับโรคตับอักเสบ โรคติดต่อทางน้ำและโรคติดต่ออื่น ๆ ภายในปี พ.ศ. 2573 (ตัวชี้วัด 3.3.3 อัตราการเกิดโรคมาลาเรีย ต่อประชากร 1,000 คน)

และในอีกด้านที่เกี่ยวข้องเฉพาะประเด็นสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม มี 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ SDG 3.2 ยุติการตายที่ป้องกันได้ของทารกแรกเกิดและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยทุกประเทศมุ่งลดอัตราการตายในทารก ลงให้ต่ำถึง 12 คน ต่อ การเกิดมีชีพ 1,000 คน และลดอัตราการตายในเด็ก อายุต่ำกว่า 5 ปี ลงให้ต่ำถึง 25 คน ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน ภายในปี 2573 (ตัวชี้วัด 3.2.1 อัตราการตายของเด็ก อายุต่ำกว่า 5 ปี ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน และ 3.2.2 อัตราตายของทารกแรกเกิดต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คน) และ SDG 3.4 ลดการตายก่อนวัยอันควร จากโรคไม่ติดต่อ ให้ลดลงหนึ่งในสาม ผ่านทางการป้องกันและการรักษาโรค และสนับสนุนสุขภาพจิตและความ เป็นอยู่ที่ดี ภายในปี 2573 (ตัวชี้วัด 3.4.1 อัตราการตายของผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน หรือโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง)

ปัญหา Climate Change ต่อสุขภาพเด็ก สามารถส่งผลกระทบได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งล้วนมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย หากดูในด้านผลกระทบจากความเสื่อมโทรมสภาพของสิ่งแวดล้อมต่อเด็ก แบ่งเป็น 1) ผลกระทบทางตรง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพ การเจ็บป่วย การตาย การรับรู้ทางสติปัญญาและทางสรีรวิทยา 2) ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ ทางสังคม การศึกษา เศรษฐกิจ อันมาจากปัญหาด้านมลพิษที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ครอบครัวมีการใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งทำให้ต้องลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สุดท้าย คือ คุณภาพและความปลอดภัยทางอาหาร อันมาจากปัญหามลพิษที่ทำให้แหล่งอาหารเกิดความเสียหาย [21]

ภาพที่ 9 Summary of environmental degradation impacts on children
ที่มา : United Nation Thailand

ด้านผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อเด็ก แบ่งเป็น 1) ผลกระทบทางตรง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพ และการรับรู้ทางสติปัญญาและทางสรีรวิทยาซึ่งมีความใกล้เคียงกับความเสื่อมโทรมของสิ่งเเวดล้อม (environmental degradation) 2) ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ ด้านการศึกษาอาจทำให้นักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษา เพื่อมาหารายได้ ด้านสังคม เกิดความกดดันกลุ่มแรงงานข้ามประเทศ การโยกย้ายถิ่นฐานและโรงเรียน ด้านโภชนาการและอาหาร ถูกทำลายลง ซึ่งมลพิษสามารถทำลายและส่งกระทบต่อคุณภาพของอาหารได้ [22]

ภาพที่ 10 Summary of impacts of natural disasters on children
ที่มา : United Nation Thailand


06 – แนวทางรับมือ การจัดการ เเละบรรเทาผลกระทบของ Climate Change ต่อสุขภาพเด็ก 

| เเนวทางการจัดการ Climate Change ต่อสุขภาพเด็กของประเทศไทยเมื่อพิจารณารายประเด็น

ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล โดยเน้นในประเด็นร้อนจัด-หนาวจัด และความชื้น 

ประเทศไทยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับ 20-25% ภายในปี 2573 โดยมุ่งเน้นการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการจัดการน้ำ ความมั่นคงทางอาหาร และการเกษตรที่ยั่งยืน การรักษาป่า สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังมีการเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวและการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ระดับภูมิภาค เพื่อแลกเปลี่ยนและพัฒนานโยบายที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นที่ 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านพลังงานและขนส่ง ด้านการจัดการของเสีย และกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์

ด้านคมนาคมขนส่ง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 ประกอบด้วยกลยุทธ์ 4 ด้าน ได้เเก่

  • กลยุทธ์ที่ 1 สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินงานตามแผนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาคคมนาคม 
  • กลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาและปรับปรุงกฎหมายที่สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก 
  • กลยุทธ์ที่ 3 พัฒนาระบบการตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ (Measurement, Reporting and Verification: MRV) 
  • กลยุทธ์ที่ 4 สร้างการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างศักยภาพของทุกหน่วยงานในการลดก๊าซเรือนกระจก 

นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรการ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามมาตรการ “ลด-เปลี่ยน-พัฒนา” (Avoid, Shift, and Improve) เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เเละลดการใช้พลังงานในภาคขนส่ง ลดปัญหาสภาพการจราจรติดขัด สร้างเมืองน่าอยู่ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศซึ่งจะนำไปสู่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่

  • มาตรการที่ 1 การหลีกเลี่ยงหรือลดการเดินทาง (avoid/reduce) นโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทาง หรือลดระยะทางการเดินทางที่ไม่จำเป็น โดยการบูรณาการระหว่างการวางผังเมืองกับการวางแผนด้านการขนส่งที่เหมาะสม เช่น การพัฒนาพื้นที่ใช้สอยในลักษณะของพื้นที่ขนาดกะทัดรัด (compact area) การพัฒนาเมืองโดยประยุกต์ใช้การพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit Oriented Development: TOD) การส่งเสริมมาตรการการทำงานอยู่กับบ้าน การสร้างศูนย์ราชการหรือศูนย์การค้าในพื้นที่ 
  • มาตรการที่ 2 การเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง (Shift/Maintain) นโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนจากการใช้ยานพาหนะส่วนตัว หันไปใช้รูปแบบการเดินทางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ระบบขนส่งสาธารณะ และการเดินทางแบบไร้เครื่องยนต์ (การขี่จักรยาน และการเดินเท้า)
  • มาตรการที่ 3 การปรับปรุงหรือพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในยานยนต์ (improve) มาตรการที่มุ่งเน้นการพัฒนายานยนต์ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง และการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยีการประหยัดพลังงานของยานยนต์ การใช้พลังงานทางเลือก การส่งเสริมการใช้น้ำมันเเก๊สโซฮอล์ และการส่งเสริมการใช้รถและจักรยานไฟฟ้า [23] 

ด้านการจัดการของเสีย มุ่งเน้นการเร่งดําเนินงานตามแผนที่ต้องการลดก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วย 2 กลุ่มมาตรการ อาทิ 

  • มาตรการที่ 1 การจัดการขยะ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการการลดปริมาณขยะในทุกประเภท
  • มาตรการที่ 2 การจัดการน้ำเสีย ประกอบด้วยมาตรการเพิ่มการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในอุตสาหกรรมด้วยการนําก๊าซมีเทนกลับมาใช้ประโยชน์ [24]

ด้านกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์มีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น 0.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในกลุ่มมาตรการการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม 2 มาตรการ ได้เเก่  

  • มาตรการที่ 1 การส่งเสริมการทดแทนปูนเม็ดในอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์และคอนกรีตผสมเสร็จของประเทศไทยควรมุ่งเพิ่มการใช้เทคโนโลยีนี้ในอัตราส่วนที่มากขึ้น โดยการควบคุมมาตรฐานและสร้างการยอมรับจากผู้ซื้อและผู้ใช้งาน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น การผลิตเทคอนกรีต การสร้างเขื่อน และการผลิตวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ท่อสำเร็จรูป พื้นสำเร็จรูป และอิฐตัวหนอน และใช้เป็นฐานในการสร้างถนน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างเท่าเทียม
  • มาตรการที่ 2 การทดแทนหรือปรับเปลี่ยนสารทำความเย็นภายใต้กรมโรงงานอุตสาหกรรม รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกและกองทุนพหุภาคีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศในอุตสาหกรรมระบบปรับอากาศและทำความเย็น (Thailand Refrigeration and Air Conditioning Nationally Appropriate Mitigation Action: RAC NAMA) จากความร่วมมือของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง และสารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม [25]  

ประเด็นมลพิษทางอากาศ

         กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีการกำหนด 4 มาตรการระดับปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก เพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจากมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ฝุ่น หมอกควัน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว คือ โรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจ[26] โดยมีมาตรการ ได้แก่ 

  • มาตรการที่ 1 การส่งเสริมและลดมลพิษและสื่อสารสร้างความรอบรู้ เช่น 1) สื่อสารและประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างความรอบรู้ ความเข้มแข็ง และจัดการความเสี่ยงของชุมชนและประชาชน 2) ส่งเสริมองค์กรลดมลพิษ GREEN/Smart Energy & Climate Action/SECA ได้แก่ การใช้รถยนต์ไฟฟ้า การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดการกรองฝุ่น และการลดขยะ
  • มาตรการที่ 2 การลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น 1) เฝ้าระวังและแจ้งเตือนความเสี่ยงต่อสุขภาพ 2) เฝ้าระวังสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพทั้งเชิงรับและเชิงรุก 3) ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ได้แก่ งดกิจกรรมกลางแจ้ง ปรับการทำงานเป็นรูปแบบ Work From Home
  • มาตรการที่ 3 การจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น 1) เปิดคลินิกมลพิษ หรือห้องปลอดฝุ่น 2) จัดระบบปฏิบัติการเชิงรุก เพื่อดูแลประชาชน ได้แก่ ทีม 3 หมอ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และจัดหน่วยบริการดูแลประชาชน 3) สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลแก่กลุ่มเสี่ยง 4) จัดระบบรักษาพยาบาลและส่งต่อ ระบบนัดหมายใหม่ และ Telemedicine 
  • มาตรการที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เช่น 1) จัดระบบรายงานเหตุการณ์ฉุกเฉิน (Public Health Emergency. Operation Center : PHEOC) 2) ส่งเสริมและขับเคลื่อนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ

ภาพที่ 11 ตารางมาตรการด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณี หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก
ที่มา : กรมอนามัย

ภาพสรุปของการแนวทางรับมือ การจัดการ เเละบรรเทาผลกระทบของ Climate Change ต่อสุขภาพเด็ก

ภาพที่ 12 ความเชื่อมโยงงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในระดับต่าง ๆ
ที่มา : กรมอนามัย

ตัวอย่างเเนวทางการจัดการของประเทศอื่น 

ผลกระทบต่อสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพภูมิอากาศหลายประการสามารถป้องกันหรือลดลงได้ผ่านการดำเนินการที่เหมาะสมและทันเวลา กลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการลดผลกระทบที่เลวร้ายต่อสุขภาพขึ้นอยู่กับการผสมผสานของปัจจัยทางสังคม เทคนิคการพยากรณ์สภาพอากาศและภูมิอากาศที่ดีขึ้น และการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อเด็กอย่างชัดเจนขึ้น

สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่น่าสนใจสำหรับเป็นกรณีศึกษาเรื่องนี้เนื่องจากมีหน่วยงานชื่อ United States Environmental Protection Agency หรือ EPA ที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและดูแลสุขภาวะของประชากรและสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ให้สามารถปรับตัวและปกป้องตนเองจากผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ หน่วยงานฯ ดังกล่าว มุ่งมั่นที่จะปกป้องสุขภาพของเด็กด้วยหลากหลายวิธี ซึ่งรวมถึงการให้ข้อมูลวิธีการรักษาความปลอดภัยให้กับเด็กในช่วงระหว่างและหลังจากเกิดภัยพิบัติธรรมชาติชนิดต่าง ๆ รวมทั้งการทำวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเด็กในทุกด้าน โดยมีแนวทางการจัดการและข้อแนะนำโดยทั่วไป ได้แก่

  1. ส่งเสริมการเป็นผู้ดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการส่งเสริมให้โรงเรียนในชุมชน ครอบครัว และธุรกิจท้องถิ่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพวกเขาโดยการจัดการการใช้พลังงานและการสร้างขยะ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญในการจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการป้องกันผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงที่สุด
  2. ควบคุมการทำความร้อนและเย็นในที่อยู่อาศัย โดยการใช้ซีลและฉนวนที่เหมาะสม และการดูแลอุปกรณ์ทำความร้อนและเย็นด้วยเครื่องมือ ENERGY STAR Home Advisor หรือ Home Performance with ENERGY STAR นอกจากนี้ยังควรพิจารณาการเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น สวนบนหลังคา หลังคาเย็น การจัดสวนที่ยั่งยืน และการสลับไปใช้พลังงานสีเขียว หรือใช้สิทธิ์ภาษีภาครัฐสำหรับโครงการติดตั้งพลังงานทดแทนในบ้าน เช่น โครงการติดตั้งแผงโซลาร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานพาหนะที่ประหยัดพลังงาน
  3. ใช้การขนส่งที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปั่นจักรยาน การเดินเท้า ร่วมกับการขับรถพลังงานสะอาด หรือใช้การขนส่งสาธารณะ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีคุณภาพ โดยสามารถเลือกใช้ยานพาหนะที่ประหยัดพลังงานหรือเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะประเภทไฟฟ้าได้ [27]

ความร่วมมือระหว่างประเทศ 

ปฏิเสธไม่ได้ที่จะกล่าวถึงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) ครั้งที่ 28 ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม 2566 โดยในที่ประชุม ดังกล่าว ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อม เด็ก และสุขภาวะ และได้ร่วมกันกล่าวคำเรียกร้องต่อประเด็นการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความเสี่ยงของเด็กจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากรายงาน The climate-changed child: A Children’s Climate Risk Index supplement ซึ่งเน้นย้ำประเด็นสำคัญไว้ 4 ส่วน ดังภาพด้านล่างนี้ [28]

ภาพที่ 13 The climate-changed child: A Children’s Climate Risk Index supplement
ที่มา UNICEF Thailand

ในระดับสากล มีคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ The United Nations Committee on the Rights of the Child ที่มาจากการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนทั่วโลกกว่า 16,331 คน ซึ่งมาจาก 121 ประเทศทั่วโลก ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านกลไกสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับ เพื่อสร้างบทบาทในการร่วมขับเคลื่อน สะท้อน สื่อสาร ให้กับทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกช่วงวัยในสังคมได้ตระหนักถึงปัญหา และพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการจัดทำข้อเสนอแนะ “เอกสารความคิดเห็นทั่วไป ฉบับที่ 26 (General Comment No. 26 – GC26)” ว่าด้วยสิทธิเด็กและสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความเชื่อมโยงกัน โดยต้องมีการแก้ไขปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานนโยบายและการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่ลืมเด็กและต้องคำนึงหลักการเรื่องสิทธิเด็กเป็นสำคัญ [29]


07 – ข้อเสนอเเนะ 

| ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล โดยเน้นประเด็นร้อนจัด-หนาวจัด และความชื้น

ประเด็นที่ควรเน้นย้ำคือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเด็กซึ่งมีสัตว์เป็นพาหะนำโรค เช่น การจัดการปัญหาโรคติดเชื้อ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินการป้องกันโรคติดเชื้อโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ให้สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่และควรส่งเสริมให้มีภาคีเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชนกับหน่วยงานภาครัฐ และข้อเสนอแนะในการนำไปปฏิบัติ ควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การศึกษาบริบทชุมชน การวิเคราะห์สถานการณ์ การวางแผนและการแก้ไขปัญหาการติดตามประเมินผลและพัฒนาแก้ไขให้ดีขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชนตัวอย่างยั่งยืนตลอดไป และอีกด้านที่สำคัญ คือ การสร้างองค์ความรู้และการปฏิบัติตนในการป้องกันโรคติดเชื้อที่ถูกต้องนอกจากหน่วยงานภาครัฐต้องเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางวิชาการที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องสร้างโอกาสให้ประชาชนที่อยู่ในชุมชนได้เรียนรู้และปฏิบัติตนที่ถูกต้องด้วย

| ประเด็นมลพิษทางอากาศ

ทุกภาคส่วนควรร่วมกันลด PM2.5 จากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ รวมทั้งการเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนักถึงผลกระทบที่รุนแรงต่อเด็ก ควรเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการลด PM2.5 และป้องกันดูแลผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก และเร่งพัฒนางานวิจัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายการลด PM2.5 ของประเทศ และสร้างนวัตกรรมการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ อันนำไปสู่การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี คุ้มครองคุณภาพชีวิตเด็กที่ถือเป็นอนาคตของประเทศไทยในรุ่นต่อไป


08 – บทส่งท้าย

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องร่วมมือแก้ไข เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะสีเขียว ประเทศไทยใช้เครื่องมือนโยบายในการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นกลุ่ม รัฐบาลควรเร่งการดำเนินการบังคับกฎหมายเพื่อลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเสริมความพร้อมเเก่ทุกภาคส่วน และเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะสีเขียวของไทยเป็นไปอย่างราบรื่น และรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในกระแสความยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะ เพื่ออนาคตของคุณภาพชีวิตของเด็กและกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้ในทุกมิติต่อไป

อติรุจ ดือเระ – บรรณาธิการ
เเพรวพรรณ ศิริเลิศ – พิสูจน์อักษร
วิจย์ณี เสนแดง – ภาพประกอบ


● อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
– SDG Insights | ท่ามกลางวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ระบบสุขภาพไทยต้องรับมือกับอะไรบ้าง?
– SDG Updates | หายนะจาก ‘สภาพอากาศร้อนจัด’ ผลกระทบวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่คร่าชีวิตคนทั่วโลก
– รายงาน IPCC ฉบับใหม่เผยข้อมูลผลกระทบและความเสี่ยงจาก Climate Change ต่อปัญหาสุขภาพปัจจุบัน
– ก้าวไกล ยื่นร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อม 4 ฉบับ เข้าสภา หวังผลักดันแก้ปัญหา PM2.5 และ Climate Change ในเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน
SDG Insights | โลกรวนป่วนโรค: สำรวจความเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กับโรคระบาด

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
– (3.d) เสริมขีดความสามารถสําหรับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกําลังพัฒนา ในเรื่องการแจ้งเตือนล่วงหน้า การลดความเสี่ยง และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพในระดับประเทศและระดับโลก
#SDG4 การศึกษาที่มีคุณภาพ
#SDG7 พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้
#SDG11 เมืองเเละชุมชนที่ยั่งยืน
#SDG13 การรับมือกับการเปลี่ยนเเปลงสภาพภูมิอากาศ
– (13.2) บูรณาการมาตรการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในนโยบาย ยุทธศาสตร์และการวางแผนระดับชาติ
– (13.3) พัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้และขีดความสามารถของมนุษย์และของสถาบันในเรื่องการลดผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเตือนภัยล่วงหน้า
#SDG17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
– (17.17) สนับสนุนและส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาครัฐ-ภาคเอกชน และประชาสังคม สร้างบนประสบการณ์และกลยุทธ์ด้านทรัพยากรของหุ้นส่วน

เอกสารอ้างอิง :
[1] [28] United Nation Children’s Fund. (2023). The climate change child: A children’s climate risk index supplement.
[2] NewClimate Institute. (8 December 2023). Climate Change Performance Index 2024. https://newclimate.org/resources/publications/climate-change-performance-index-2024
[3] องค์การสหประชาชาติ ประเทศไทย. (12 มีนาคม 2566). สาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. https://thailand.un.org/th/174652-สาเหตุและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
[4] Copernicus. (9 January 2024). The 2023 Annual Climate Summary Global Climate Highlights 2023. https://climate.copernicus.eu/global-climate-highlights-2023
[5] [13] [26] เอกสารประกอบการสัมมนา. https://drive.google.com/drive/folders/1pwEXgiMmxo9Z6PKT6Z_9j041cuslgFvX
[6] [8] [9] กระทรวงสาธารณาสุข. (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านสาธารณสุขแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2569.  https://hia.anamai.moph.go.th/web-upload/migrated/files/hia/1418_article_file.pdf  
[7] ศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา. ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีผลต่อสุขอนามัยของมนุษย์. http://climate.tmd.go.th/content/article/12
[10] สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ. Heat Stroke โรคลมร้อนหรือโรคลมแดด ภัยเสี่ยงถึงเสียชีวิต. https://pharmacy.mahidol.ac.th/knowledge/files/0454.pdf
[11] [12] วสุ ศุภรัตนสิทธิ. (28 พฤศจิกายน 2561). เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง…อารมณ์จึงแปรปรวน (Seasonal Affective Disorder; SAD). https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/443/อารมณ์แปรปรวนเพราะอากาศ/
[14] [15] กรวิภา ปุนณศิริ และคณะ. การศึกษาผลกระทบและคาดการณ์ผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษทางอากาศและการพัฒนาดัชนีสุขภาพอันเนื่องมาจากคุณภาพอากาศของประเทศไทย. https://hia.anamai.moph.go.th/th/news-anamai/download/?did=208776&id=90702&reload=
[16] ความรู้เกี่ยวกับโรคมาลาเรีย. http://libdcms.nida.ac.th/thesis0/2550/b155258/b155258c2-1.pdf
[17] ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย. (2567). คำแนะนำแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัยและการรักษาโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ในเด็กและวัยรุ่น. https://drive.google.com/file/d/1AnnnpA3EfNJxA0E28Rd9VQUwaArebN29/view
[18] นิกร ฮะเจริญ และ มณฑิรา ยุติธรรม. โรคไข้เลือดออกกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การประเมินความเปราะบางและการปรับตัวด้านสุขภาพ. https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JCCPH/article/view/241319/164141
[19] [20] MOMS Clean Air Force. (May 2023). CLIMATE CHANGE AND TICK-BORNE ILLNESSES. https://www.momscleanairforce.org/wp-content/uploads/2023/05/tickborne_illnesses.pdf
[21] [22] United Nation Thailand. Impact Assessment of Climate Change and Environmental Degradation on Children in Thailand. https://thailand.un.org/en/227963-impact-assessment-climate-change-and-environmental-degradation-children-thailand
[23] [25] Changing Transport. (23 June 2023). Revised NDC Action Plan: Thailand Steps up Transport Efforts. https://changing-transport.org/revised-ndc-action-plan-thailand-steps-up-transport-efforts/
[24] ศูนย์องค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (15 กุมภาพันธ์ 2566). 03 แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564-2573. https://hub.mnre.go.th/th/knowledge/detail/63111
[27] United States Environmental Protection Agency.  (April 2023). Climate Change and Children’s Health and Well-Being in the United States. https://www.epa.gov/system/files/documents/2023-04/CLiME_Final%20Report.pdf

Author

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและรายละเอียดของท่านจะถูกเก็บเป็นความลับและใช้เพื่อการพัฒนาการสื่อสารองค์ความรู้ของ SDG Move เท่านั้น
* หมายถึง ข้อมูลที่จำเป็น