บริษัทตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วโลก หรือ IQAir นำเสนอรายงานคุณภาพอากาศโลกประจำปี 2567 (World Air Quality Report 2024) เผยว่าเกือบทุกประเทศทั่วโลกมีมลพิษทางอากาศเกินกว่าระดับที่ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ โดยมีเพียง 7 ประเทศเท่านั้นที่มีค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยรายปี ไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ขณะที่ประเทศไทย แม้จะขยับอันดับขึ้นจากเดิมอยู่ในอันดับที่ 36 ในปี 2566 มาอยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก แต่คุณภาพอากาศยังคงอยู่ในเกณฑ์ระดับสีส้ม ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบาง
รายงานคุณภาพอากาศโลกประจำปี 2567 ระบุว่าจากการสำรวจทั้งหมด 138 ประเทศและภูมิภาค พบมีถึง 126 ประเทศและภูมิภาค หรือคิดเป็นร้อยละ 91.3 ที่มีค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยรายปีสูงเกินกว่าเกณฑ์แนะนำขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะเดียวกันมีเพียง 7 ประเทศเท่านั้นที่มีค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 อยู่ในเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ได้แก่ ออสเตรเลีย บาฮามาส บาร์เบโดส เอสโตเนีย ไอซ์แลนด์ นิวซีแลนด์ และเกรเนดา
จากการจัดอันดับในปี 2567 ประเทศที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดมีทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ ชาด 91.8 μg/m³ บังกลาเทศ 78.0 μg/m³ ปากีสถาน 73.7μg/m³ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก 58.2 μg/m³ และอินเดีย 50.6 μg/m³ ซึ่งทั้งห้าประเทศนี้มีค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 สูงกว่าเกณฑ์อย่างน้อย 10 เท่า และสูงสุดถึง 18 ในชาด

ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรียงจากประเทศที่มีอากาศดีที่สุด พบประเทศสิงคโปร์ (อันดับที่ 94) เป็นอันดับ 1 ของประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในภูมิภาคนี้ ตามมาด้วย ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 74) มาเลเซีย (อันดับที่ 48) ไทย (อันดับที่ 45) กัมพูชา (อันดับที่ 40) เมียนมา (อันดับที่ 30) ลาว (อันดับที่ 25) เวียดนาม (อันดับที่ 23) และอินโดนีเซีย (อันดับที่ 15) ซึ่งอินโดนีเซียยังคงเป็นประเทศที่มีมลพิษมากที่สุดในภูมิภาคและอยู่ในอันดับที่ 15 ของโลก แม้ค่าฝุ่น PM2.5 จะลดลงเล็กน้อย นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ของประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก พบว่าประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 108) เป็นประเทศที่มีอากาศดีมากที่สุดในเอเชียตะวันออก
โดยปี 2567 คุณภาพอากาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย โดยพบว่าค่าฝุ่น PM2.5 ลดลงในทุกประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย ค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ลดลงร้อยละ 14.9 แต่ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาในภาคเกษตรยังคงทำให้เกิดมลพิษรุนแรงในพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศ ขณะที่กรุงเทพ เป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 42 ของเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุดของโลก
อย่างไรก็ดี แม้คุณภาพอากาศจะมีแนวโน้มดีขึ้นในหลายประเทศ แต่มลพิษทางอากาศยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยมีสาเหตุหลักจากการปล่อยมลพิษภาคอุตสาหกรรม การเผาชีวมวล โรงไฟฟ้าถ่านหิน และการขนส่ง และหมอกควันข้ามพรมแดนที่ยังคงรุนแรง ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชน หลายประเทศจำเป็นต้องเร่งผลักดันมาตรการแก้ไข เช่น สิทธิในการมีอากาศสะอาด ที่กฎหมายซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศในภูมิภาค
● อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
– การแก้ไขปัญหา PM 2.5 อย่างยั่งยืน : เมื่อการสร้างความตระหนักไม่เพียงพอ
– คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติปรับลดค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ในรอบ 12 ปี ใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานของ WHO มากขึ้น
– SDG Updates | สภาพความเป็นจริงที่รู้สึกได้ : ความแตกต่างในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 ระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคเหนือและภาคใต้
– SDG Updates | พ.ร.บ. อากาศสะอาด หลักประกันให้คนไทยกลับมาสูดอากาศที่ดีต่อลมหายใจ
– SDG Insights | ชำแหละนโยบายแก้ฝุ่น PM2.5 ในภาคเกษตร : อะไรคือต้นเหตุของความไม่ยั่งยืน
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
#SDG3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
– (3.9) ลดจำนวนการตายและการเจ็บป่วยจากสารเคมีอันตรายและจากมลพิษและการปนเปื้อนทางอากาศ น้ำ และดิน ให้ลดลงอย่างมาก ภายในปี 2573
#SDG11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
– (11.6) ลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมต่อหัวประชากรในเขตเมือง รวมถึงการให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการจัดการคุณภาพอากาศ การจัดการของเสียของเทศบาล และการจัดการของเสียอื่น ๆ ภายในปี 2573
แหล่งที่มา:
– Only seven countries worldwide meet WHO dirty air guidelines, study shows (The Guardian)
– WORLD AIR QUALITY REPORT 2024 (greenpeace)
– ไทยติดอันดับ 6 ประเทศที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามรายงาน IQAir ปี 2567 (Greenpeace Thailand)